วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

บทความที่ 4 การเลี้ยงและดูแลแคคตัสหรือตะบองเพชร

การเลี้ยงและดูแลแคคตัสหรือตะบองเพชร

       มีคำพูดที่ได้ยินอยู่เสมอว่า ถ้าเลี้ยงแคคตัสตาย ก็ไม่ต้องเลี้ยงต้นอะไรแล้ว” แต่สำหรับคนที่เคยเลี้ยงมาแล้ว ก็มักจะพูดว่า “เลี้ยงอยากจัง เน่าตายหมดเลย ต้นไม่สวยเหมือนตอนที่ซื้อมาเลย” สรุปว่า เลี้ยงง่ายหรือยากก็ไม่รู้ แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาที่เคยเลี้ยงดูแลพวกเขาอยู่ 3 ช่วงใหญ่ ๆ พบว่า ถ้าเข้าใจพื้นฐานความต้องการของต้นไม้พวกเขาเหล่านี้ดีแล้ว การเลี้ยงและดูแลแคคตัสก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยครับ แต่ที่เลี้ยง ๆ แล้วตาย นั่นเป็นเพราะดูแลเขาอย่างผิดวิธีนั่นเอง
      ธรรมชาติของแคคตัสส่วนใหญ่เกิดในทะเลทราย ที่โดนแสงแดดจัดทั้งวัน แถมฟ้าฝนก็ไม่ค่อยจะตก น้ำก็ไม่ค่อยจะมี แค่เรื่องนี้ เราก็น่าจะทราบได้ดีแล้วว่า การดูแลพวกเขาให้ดี ต้องทำอย่างไร จุดหลักจากข้อมูลข้างต้น ก็จะพบว่า แคคตัสต้องวางให้โดนแดดจัด ๆ ทั้งวัน และไม่ต้องรดน้ำให้เขามาก พวกเขาเอาตัวรอดได้จากการเก็บน้ำไว้ในลำต้นอันอวบอิ่มอยู่แล้ว
       ในบ้านเรา ถ้าเราไปซื้อแคคตัสจากร้านค้ามา ในการเลี้ยงดูของฟาร์มแต่ละฟาร์มนั้น ส่วนมากเขาจะเลี้ยงกันในโรงเรือนแบบปิด มีหลังคาเป็นหลังคาโปร่งแสงเพื่อให้แสงแดดส่องเข้ามาได้ตลอดทั้งวัน แต่จะกันน้ำกันฝนที่ตกลงมาเพียงเท่านั้นเอง การรดน้ำ ก็จะทำการรด 3-5 วันต่อครั้ง ดังนั้น เวลาที่เราไปซื้อหามาแล้วเอาพวกเขาไปตั้งบนโต๊ะทำงาน ห้องรับแขก โดยทันที แบบนี้ สักพักก็เตรียมเงินไว้ซื้อใหม่ได้เลยครับ เพราะพวกเขาจะค่อย ๆ ตายไปแบบที่คุณเองก็ไม่รู้ตัว
พื้นฐานความต้องการของต้นไม้พวกเขาเหล่านี้ดีแล้ว การเลี้ยงและดูแลแคคตัสก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยครับ แต่ที่เลี้ยง ๆ แล้วตาย นั่นเป็นเพราะดูแลเขาอย่างผิดวิธีนั่นเอง
สถานที่ปลูกเลี้ยงแคคตัส
         การดูแลให้พวกเขางดงาม สวยเหมือนตอนที่ซื้อมา ที่ควรทำก็ต้องทำการเลี้ยงดูให้เหมือนกับฟาร์มนั่นแหละครับ เป็นโรงเรือนหลังคาใส แต่ว่าจะให้ทำแบบนั้นก็คงลำบากจนเกินไป ดังนั้น เราก็ต้องค่อย ๆ ให้พวกเขาปรับตัวทีละนิด เช่น วางพวกเขาไว้ที่ระเบียงที่โดนแดดเกือบทั้งวัน สำหรับคนที่พักอยู่ตามคอนโด จะอยู่ตะวันออกหรือตะวันตก ที่มีแสงแดดก็คงโชคดีหน่อย แต่ถ้าไม่มีแสงแดดเลย ก็ไม่ควรซื้อพวกเขามาเลี้ยงเลยนะครับ ตายเสียเปล่า ๆ
       สำหรับคนที่อยู่บ้านมีสนามมีพื้นที่ที่โดนแดดจัดทั้งวัน ก็จะดีมาก สามารถเอาพวกเขาไปตากแดดได้เต็มวันเลยทีเดียว แต่ถ้าเป็นช่วงหน้าฝน ก็หาขวดพลาสติกใสมาตัดด้านก้นขวดออก แล้วครอบต้นแคคตัสไว้เป็นต้น ๆ เลยก็จะป้องกันน้ำฝนได้ดีครับ ด้านปากขวดไม่ต้องปิดฝานะ อากาศจะได้ระบายถ่ายเทได้ แต่ถ้ามีหลาย ๆ ต้น ก็ทำหลังคาใสมาบังไว้เลยก็จะดีมากครับ
       กรณีที่อยากเอามาวางประดับบนโต๊ะบ้าง ก็ยังสามารถทำได้ครับ ก็คือเลี้ยงสักหลาย ๆ ต้นหน่อย แล้วเวียนเอาพวกเขามาตั้งประดับสัก 2-3 วัน แล้วก็เอาออกไปเปลี่ยนคืนนั่นเอง การทำแบบนี้ ก็ใช่ว่าจะดีนะครับ แค่สามารถยืดชีวิตพวกเขาไปได้นานขึ้นก็เท่านั้นเอง นาน ๆ ไป ก็อาจจะแคระแกรนได้เช่นกันครับ แสงแดดจำเป็นต่อชีวิตพวกเขามาก เป็นพันธุ์หนาม หนามก็จะยาวสวยงาม เป็นพันธุ์ขนขาวปุย ก็จะขาวหนานุ่มสวยงามเช่นกัน
การดูแลรดน้ำแคคตัส
       มาว่าถึงอีกเรื่องที่สำคัญก็คือ การให้น้ำ แคคตัสเป็นพืชที่ไม่ชอบน้ำมาก ให้น้ำมากคือการฆ่าพวกเขาให้ตายนั่นเอง การเอาตัวรอดในเรื่องน้ำ พวกเขาพัฒนามาเป็นล้าน ๆ ปีแล้ว นั่นคือลำต้นที่อวบอิ่มเก็บกักน้ำไว้ภายในนั่นเอง
       ให้สังเกตดินปลูกเลี้ยงว่าแห้งแล้วหรือยัง ถ้าแห้งแล้วก็ให้ใช้ฝักบัวรดให้ชุ่ม ส่วนระยะเวลาห่างในการรดน้ำ สังเกตุง่าย ๆ หลังจากที่เรารดน้ำไปวันแรก ให้เช็คดูว่า อีกกี่วันดินถึงจะแห้ง เมื่อดินแห้งแล้วให้เว้นไปอีก 1 วัน แล้วค่อยรดน้ำใหม่ โดยให้ปล่อยดินได้แห้งบ้าง ไม่ใช่ชุ่มฉ่ำเปียกอยู่ตลอดเวลา ขนาดของกระถางเล็ก กระถางใหญ่ ก็มีผลกับระยะในการแห้งของดิน โดยเฉลี่ยแล้วจะรดประมาณ 4-5 วันครั้ง ถ้าเป็นไม้ต่อที่ต้องการน้ำมากหน่อย ก็จะรดวันเว้นวัน ถ้าเป็นกลุ่มฮาโวเทียจะรดพร้อมกับแคคตัส แต่จะสเปรย์น้ำให้วันเว้นวัน ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์อีกต่างหากครับ
การใส่ปุ๋ยแคคตัส
        เราสามารถใช้ปุ๋ยกล้วยไม้ให้แก่แคคตัสได้ แต่ควรใช้ในปริมาณที่ต่ำกว่าฉลากข้างขวดระบุไว้  ไม่ควรให้ปุ๋ยแคคตัสในปริมาณมาก เพราะอาจเกิดผลร้ายมากกว่าผลดี
      วิธีให้ปุ๋ยให้ได้ผลดีคือ ผสมให้เจือจางกว่าปกติ แต่รดให้บ่อยกว่าปกติ ใช้ปุ๋ยกล้วยไม้ 1 กรัม ต่อน้ำ 1 ลิตร รดทุก ๆ 2 สัปดาห์ก็พอครับ
       การให้ปุ๋ยแก่ต้นไม้ทุกชนิด ควรเริ่มให้เมื่อต้นไม้สามารถตั้งตัวได้ดีแล้ว ระบบรากเดินดีพร้อมที่จะกินอาหารได้ เวลาที่เราเปลี่ยนกระถางใหม่ ๆ ควรงดปุ๋ยไปจนกว่ายอดของต้นจะเริ่มเดิน นั่นหมายถึงสัญญานว่า ระบบรากเริ่มทำงานแล้ว  การรักษาระยะเวลาให้สม่ำเสมอในการให้ปุ๋ย จึงเป็นสิ่งควรยึดถือเป็นหลักในการปฏิบัติ เพื่อสุขภาพที่ดีของแคคตัส
ส่วนยาฆ่าแมลงหรือยาป้องกันเชื้อราต่าง ๆ ผสมน้ำรดทุก ๆ 2-3 เดือน ต่อ 1 ครั้งก็เพียงพอแล้ว
การปลูกหรือเปลี่ยนกระถางแคคตัส
       การปลูกจะกระทำเมื่อแยกหน่อหรือได้ต้นใหม่ ส่วนการเปลี่ยนกระถางจะกระทำเมื่อต้นโตคับกระถางเก่า แต่อย่าลืมว่าต้องใช้ดินปลูกโดยเฉพาะเท่านั้น จะซื้อแบบที่เป็นถุงสำเร็จรูปสำหรับปลูกแคคตัสโดยเฉพาะ หรือจะผสมเองก็แล้วแต่เลย สูตรสำหรับดินก็มีให้เลือกหลากหลายมากมายอยู่เหมือนกันครับ สำหรับส่วนประกอบหลักที่เราจะผสมลงไปก็ได้แก่
เนื้อดิน เช่น ดินขุยไผ่  ดินใบก้ามปู ดินที่ผสมใบไม้หมักต่าง ๆ  แกลบ ขุยมะพร้าว พีทมอส หรือ มูลสัตว์ต่าง ๆ
วัสดุที่ช่วยเพิ่มความโปร่งให้ดิน เช่น เพอร์ไลท์ (Perlite) หินภูเขาไฟ (Pumice) เวอร์มิคูไลท์ (Vermiculite) กรวดแม่น้ำ มะพร้าวสับ ถ่าน
สารเคมีต่าง ๆ เช่น ปุ๋ยละลายช้า ยาฆ่าแมลงแบบเกร็ด (สตาร์เกิ้ลจี ฟูราดาน) ยาฆ่าเชื้อรา
        ส่วนประกอบหลัก 3 ส่วนนี้ ควรจะเลือกชนิดที่นำมาผสม ให้เข้ากับความสะดวกในการซื้อหา และให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่นั้น ๆ
        ในการผสมดินนั้น เราควรคำนึงถึงความสะอาดของดิน เพื่อไม่ให้เกิดเชื้อรา หรือเชื้อโรคต่าง ๆในวัสดุที่เราจะนำมาผสม เราควรทำความสะอาด หรือ ตากแดดไว้สัก 3–5 วัน ก่อนที่จะนำมาผสม  ส่วนประกอบที่จะนำมาผสม มีธาตุอาหารเพียงพอหรือไม่ ดินมีความโปร่งพอหรือไม่ ดินโปร่งจะทำให้ดินแห้งไว น้ำสามารถซึมผ่านไปได้ทั้งกระถาง ตามธรรมชาติของแคคตัสแล้ว ไม่ได้ต้องการเนื้อดินเยอะ ควรเน้นไปที่วัสดุที่ช่วยความโปร่งให้ดิน แล้วใส่ดินไปประมาณ ¼ ก็เพียงพอแล้ว ข้อสำคัญ หลังจากที่ผสมดินเสร็จแล้ว ควรรดน้ำให้ชุ่ม และตากแดดทิ้งไว้ประมาณ 1-2 อาทิตย์ เราจะได้ดินที่สะอาดและไม่มีความร้อน จากการย่อยสลายตัวของอินทรีย์สารในดิน
       ส่วนสูตรดิน มีหลากหลายมาก ขึ้นอยู่กับวัสดุด้วยครับ ในที่นี้ ขอใช้สูตรของ Jibi Cactus ครับ อีกเรื่องที่สำคัญคือ ขนาดของกระถางต้องเลือกให้เหมาะสมกับขนาดของต้นแคคตัส ไม่เล็กและใหญ่จนเกินไปด้วย
1. ดินร่วน 1 ถ้วย
2. ทรายหยาบ 1 ถ้วย
3. พีทมอส 1 ถ้วย
4. หินภูเขาไฟ 1 ถ้วย
5. เพอร์ไลท์ 1 ถ้วย
6. แกลบดำ ½ ถ้วย
         ส่วนวัสดุที่นำมาโรยหน้าดิน ให้เลือกหินที่ไม่คมหรือแหลมเกินไปจนทำให้บาดต้น สีสันให้เข้ากับธรรมชาติ การโรยหน้าดินช่วยป้องกันไม่ได้เศษดินดำ ๆ กระเด็นไปโดนปุยขาว ๆ หรือเลอะโคนต้น เพียงเท่านี้ก็ทำให้แคคตัสของเราดูสวยขึ้นแล้ว

ที่มา : http://manopas.com

บทความที่ 3 ประโยชน์ของผักแต่ละชนิด

ประโยชน์ของผักต่างๆ แต่ละชนิดมาฝากกัน
สะเดา  ( Neem  tree)
ประโยชน์ : มีเบต้าแคโรทีนสูง   บำรุงสายตา   เสริมระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้นอนหลับ

ผักกาดขาว ( Chinese white cabbage)
ประโยชน์ :  ช่วยระบบย่อยอาหาร  ขับปัสสาวะ  แก้ไอ  มีโฟเลทสูง บำรุงคุณแม่ตั้งครรภ์
ต้นหอม  ( Shallot)
ประโยชน์ :  มีน้ำมันหอมระเหย  บรรเทาอาการหวัด   มีสารฟลาโวนอยด์ต้านมะเร็ง
แครอท ( Carrot)
ประโยชน์ : เบต้าแคโรทีนป้องกันโรคมะเร็ง  มีแคลเซียม  แพคเตท   ลดระดับ คลอเลสเตอรอลได้
หอมหัวใหญ่ ( Onion)
ประโยชน์ :  มีสารฟลาโวนอยด์  ช่วยลดอาการของโรคหัวใจ   ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
คะน้า ( Chinese kale)
ประโยชน์ : มีแคลเซียมและสารต้านอนุมูลอิสระสูง   ป้องกันโรคกระดูกพรุน และมะเร็ง
พริก ( Chilli)
ประโยชน์ : มีแคปไซซินกระตุ้นการขยายตัวของหลอดเลือด   ช่วยให้เจริญอาหาร  ขับเหงื่อ
กระเจี๊ยบเขียว ( Okra)
ประโยชน์ : ลดความดันโลหิต  บำรุงสมอง   ลดอาการกระเพาะหรือลำไส้อักเสบ
ผักกระเฉด( Water mimosa)
ประโยชน์ :  ดับพิษไข้  กากใยช่วยระบบขับของเสีย   เพิ่มการเผาผลาญสารอาหาร
ตำลึง ( Ivy  gourd)
ประโยชน์ :  มีวิตามินเอสูง  ดีต่อดวงตา  เส้นใยจับไนเตรต   ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร
มะระ ( Chinese bitter cucumber)
ประโยชน์ : มีแคลเซียม  ฟอสฟอรัส  เป็นยาระบายอ่อน ๆ   น้ำคั้นลดระดับน้ำตาลในเลือด
ผักบุ้ง ( Water  spinach)
ประโยชน์ : บรรเทาอาการร้อนใน  มีวิตามินเอบำรุงสายตา   ธาตุเหล็กบำรุงเลือด
ขึ้นฉ่าย ( Celery)
ประโยชน์ : กลิ่นหอม  ช่วยเจริญอาหาร  มีวิตามินเอ  บี  และซี   บำรุงสมอง ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด
เห็ด ( Mushroom)
ประโยชน์ :  แคลอรีน้อย  ไขมันต่ำ  มีวิตามินดีสูง   ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม เสริมกระดูกและฟัน
บัวบก ( Indian  pennywort)
ประโยชน์ : มีวิตามินบีสูง  ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย   บำรุงสมองและความจำ บำรุงผิวพรรณ ลดอาการอักเสบ
สะระแหน่ ( Kitchen mint)
ประโยชน์ :  กลิ่นหอมเย็นของใบให้ความสดชื่น   ทำให้ความคิดแจ่มใส  แก้ปวดหัว
ชะพลู ( Cha-plu)
ประโยชน์ : รสชาติเผ็ดเล็กน้อย  แก้จุกเสียด  ขับเสมหะ   มีแคลเซียมสูง
ชะอม ( Cha-om)
ประโยชน์ : ช่วยลดความร้อนในร่างกาย  ขับลมในลำไส้   มีเส้นใยคอยจับ อนุมูลอิสระ
หัวปลี ( Banana  flower)
ประโยชน์ : รสฝาด  แก้ร้อนใน  กระหายน้ำ และบำรุงน้ำนม   มีกากใย  โปรตีน และวิตามินซีสูง
กระเทียม ( Garlic)
ประโยชน์ : ลดไขมันในเลือด  ป้องกันหัวใจขาดเลือด ใบกระเทียมมีโฟเลท เหล็ก วิตามินซีสูง
โหระพา ( Sweet  basil)
ประโยชน์ :  น้ำมันหอมระเหยทำให้โล่งจมูก  ช่วยระบายลม   มีเบต้าแคโรทีน  แคลเซียม
ขิง ( Ginger)
ประโยชน์ : บรรเทาอาการหวัดเย็น  ลดอาการคัดจมูก รสเผ็ดร้อน   แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ
ข่า ( Galangal)
ประโยชน์ : น้ำมันหอมระเหย  ช่วยระบบย่อยอาหารขับลม   มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย  และเชื้อรา
กระชาย ( Wild ginger)
ประโยชน์ : บรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ  บำรุงธาตุ   มีวิตามินเอและแคลเซียม
ถั่วพู ( Winged bean)
ประโยชน์ : ให้คุณค่าทางอาหารสูง  มีโปรตีน  แคลเซียม   ฟอสฟอรัส  และสาร  ช่วยย่อยกรดไขมันอิ่มตัว
ดอกขจร ( Cowslip  creeper)
ประโยชน์ :  กระตุ้นให้รู้รสอาหาร  ให้พลังงานสูง  ประกอบด้วย   คาร์โบไฮเดรต  โปรตีน  ไขมัน
ถั่วฝักยาว ( Long bean)
ประโยชน์ : มีเส้นใย  ช่วยลดคอเลสเตอรอล  มีวิตามินซี   ช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็ก  บำรุงเลือด
มะเขือเทศ ( Tomato)
ประโยชน์ : มีวิตามินเอสูง  วิตามินซี  รสเปรี้ยว   ช่วยกระตุ้นน้ำย่อย  และแก้อาการคอแห้ง
กะหล่ำปลี ( White cabbage)
ประโยชน์ : มีกลูโคซิโนเลท  เมื่อแตกตัวจะเป็นสารต้านมะเร็ง   และมีวิตามินซีสูง
มะเขือพวง ( Pla te brush eggplant)
ประโยชน์ :  ช่วยให้เจริญอาหารและช่วยลดความดันเลือด   มีแคลเซียม  และฟอสฟอรัส
ผักชี ( Chinese  paraley)
ประโยชน์ : ขับลม  บำรุงธาตุ  ช่วยย่อยอาหาร  มีน้ำมันหอมระเหย   แก้หวัด  มีวิตามินเอและซีสูง
กุยช่าย ( Flowering chives)
ประโยชน์ :  มีกากใยช่วยระบายของเสีย   มีธาตุเหล็กช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง
ผักกาดหัว ( Chinese radish)
ประโยชน์ : แก้ไอ  ขับเสมหะ  เพิ่มภูมิต้านทางโรค   มีสารช่วยให้กระเพาะอาหารและลำไส้บีบตัวได้ดี
กะเพรา ( Holy basil)
ประโยชน์ : แก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง  มีเบต้าแคโรทีนสูง   ป้องกันโรคมะเร็ง  และโรคหัวใจขาดเลือดได้
แมงลัก ( Hairy  basil)
ประโยชน์ : ช่วยย่อยอาหาร  ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน  ขับลม   ขับเหงื่อ
ดอกแค ( Sesbania)
ประโยชน์ : กินแก้ไขช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง  เป็นยาระบายอ่อน ๆ  มีวิตามินเอสูง  บำรุงสายตา


ที่มา : http://www.deedeejang.com/3/2/1956.html

แบบฝึกหัดบทที่ 8 วิชา การจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน 0026008

แบบฝึกหัด
บทที่8 (กิจกรรม8)                                                                              กลุ่มเรียนที่ 3
รายวิชา กาารจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน                  รหัสวิชา 0026008
ชื่อ-สกุล  นางสาวสมฤทัย    ทองบ่อ                        รหัสนิสิต56011110070 สาขา ARC

คำชี้แจง  จงตอบคำถามต่อไปนี้

1) “นาย A ทำการเขียนโปรแกรมขึ้นมาโปรแกรมหนึ่งเพื่อทดลองโจมตีการทำงานของคอมพิวเตอร์ สามารถใช้งานได้ โดยทำการระบุ IP-Address โปรแกรมนี้สร้างขึ้นมาเพื่อทดลองในงานวิจัย นาย B ที่เป็นเพื่อนสนิทของนาย A ได้นำโปรแกรมนี้ไปทดลองใช้แกล้งนางสาว C เมื่อนางสาว C ทราบเขาก็เลยนำโปรแกรมนี้ ไปใช้และส่งต่อให้เพื่อนๆ ที่รู้จักได้ทดลอง” การกระทำอย่างนี้เป็น ผิดจริยธรรม หรือผิดกฎหมายใดๆ หรือไม่  หากไม่ผิดเพราะเหตุใด และหากผิด ผิดในแง่ไหน จงอธิบาย

       เป็นการกระทำที่ผิดจริยธรรม คือ นาย B และนางสาว C ไม่ได้ทำการขออนุญาติ นาย A อย่างถูกกิจลักษณะ อาจทำให้นาย A เสียหายได้ และผิดกฎหมาย คือ  กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Law) สาระของกฎหมายนี้มุ่งเน้นให้การคุ้มครองสิทธิในความเป็นส่วนตัว ไม่ให้มีการนำข้อมูลของบุคคลไปใช้ในทางมิชอบ

 2) “นาย J ได้ทำการสร้างโฮมเพจ เพื่อบอกว่าโลกแบนโดยมีหลักฐาน อ้างอิงจากตาราต่างๆ อีกทั้งรูปประกอบ เป็นการทำเพื่อความสนุกสนาน ไม่ได้ใช้ในการอ้างอิงทางวิชาการใดๆ เด็กชาย K เป็นนักเรียนในระดับประถมปลายททำรายงานส่งครูเป็นการบ้านภาคฤดูร้อนโดยใช้ข้อมูลจากโฮมเพจของนาย J” การกระทำอยางนี้เป็น ผิดจริยธรรม หรือผิดกฎหมายใดๆ หรือไม่ หากไม่ผิดเพราะเหตุใด และหากผิด ผิดในแง่ไหน จงอธิบาย


         การกระทำนี้อาจกระทำขึ้นด้วยความสนุกสนาน ไม่ได้ตั้งใจทำให้เกิดความเสื่อมเสียถึงผู้ใด แต่การกระทำเช่นนี้อาจทำให้เกิดความรำคาญแก่ผู้อื่น จึงเป็นการทำผิดจริยธรรมโดยตรง ทั้งการปลอมหลักฐาน และการหลอกลวง โดยไม่มีการทำการพิสูจน์ และยืนยันจากผู้ที่มีความรู้ความสามารถและขาดความน่าเชื่อถือ อาจทำให้ตนเองหมดความน่าเวื่อถือไปด้วย   


ที่มา : เอกสารประกอบการเรียน

แบบฝึกหัดบทที่ 7 วิชา การจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน 0026008

แบบฝึกหัด
บทที่7 (กิจกรรม7)                                                                              กลุ่มเรียนที่ 3
รายวิชา กาารจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน                  รหัสวิชา 0026008
ชื่อ-สกุล  นางสาวสมฤทัย    ทองบ่อ                        รหัสนิสิต56011110070 สาขา ARC

1. หน้าที่ของไฟร์วอลล์ (Fire-well) 
       เป็นระบบรักษาความปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอร์แบบหนึ่งที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งมีทั้งอุปกรณ์ Hardware และ Software โดยหน้าที่หลัก ๆ ของ Firewall นั้นจะทำหน้าที่ควบคุมการใช้งานระหว่าง Network ต่าง ๆ

2.จงอธิบายคำศัทพ์ต่อไปนี้ ที่เกี่ยวข้องกับไวรัสคอมพิวเตอร์ worm,virus computer,spy ware,adware 
มาอย่างน้อย 1 โปรแกรม
       Worm เป็นไวรัสประเภทหนึ่งที่ก่อกวน สามารถทำสำเนาตัวเอง (copy) และแพร่กระจายไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ 
เครื่องอื่นๆ ได้ ทำให้คอมพิวเตอร์ส่วนตัว และในระบบเครือข่ายเสียหายไวรัส วอร์ม นี้ปัจจุบันมีหลากหลายมาก มีการแพร่ กระจายของไวรัสได้รวดเร็วมาก ทั้งนี้เนื่องจากไวรัส วอร์ม จะสามารถแพร่กระจายผ่านทางอีเมล์ได้ ไม่ว่าจะเป็น 
Outlook Express หรือ Microsoft Outlook

3.ไวรัสคอมพิวเตอร์แบ่งออกเป็นกี่ชนิด อะไรบ้าง
       แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ Application viruses และ System viruses

4.ให้นิสิตอธิบายแนวทางในการป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์มาอย่างน้อย 5 ข้อ
         1.สร้างแผ่นบูต emergency disk เพื่อใช้ช่วยในการกู้ระบบ การสร้างแผ่น emergency disk
หรือบางครั้งอาจเรียกว่า Rescure disk นั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเครื่องติดไวรัสที่ไม่สามารถ
จะกำจัดได้โดยผ่านระบบปฏิบัติการวินโดวส์ หรือผลกระทบของไวรัสที่ทำให้เครื่องไม่สามารถบูต
ได้ตามปกติเราก็สามารถใช้แผ่น emergency diskมาช่วยในการกู้ข้อมูลและกำจัดไวรัสออกจนทำ
ให้บูตเครื่องได้ตามปกติ 
         2.ปรับปรุงฐานข้อมูลไวรัสทุกวันหรืออย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ขั้นตอนนี้เปรียบเสมือนหัวใจ
ของการใช้งานโปรแกรมป้องกันไวรัส เนื่องจากไวรัสคอมพิวเตอร์ถูกพัฒนาออกมาใหม่ทุกวัน 
ดังนั้นจึงควรที่จะสอนโปรแกรมป้องกันไวรัสให้รู้จักไวรัสชนิดใหม่ๆด้วย โดยการปรับปรุงฐานข้อมูล
ไวรัสที่ใช้งานนั่นเอง 
         3.เปิดใช้งาน auto - protect โดยส่วนใหญ่โปรแกรมป้องกันไวรัสที่ติดตั้งจะทำการสร้าง
โพรเซสที่จะตรวจหาไวรัสตลอดเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัสสามารถถูกเอ็กซิคิวต์ในเครื่องได้
         4.ก่อนเปิดไฟล์จากแผ่นที่นำมาใช้จากที่อื่นให้สแกนหาไวรัสก่อน แผ่นดิสก์ที่นำไปใช้ที่อื่นแล้ว
นำกลับมาเปิดที่เครื่อง จะมั่นใจได้อย่างไรว่าแผ่นนั้นไม่มีไวรัสอยู่ ดังนั้นควรจะตรวจหาไวรัสใน
แผ่นก่อนที่จะเปิดอ่านข้อมูลที่ถูกบรรจุในแผ่นดิสก์ดังกล่าว
         5.ทำการตรวจหาไวรัสทุกสัปดาห์ ในแต่ละสัปดาห์แน่นอนว่ามีไฟล์ที่ผ่านเข้าออกเครื่องมาก
มายไม่ว่าจะเป็น อี-เมล์ที่ได้รับ ไฟล์ที่ดาวน์โหลดมาจากอินเทอร์เน็ต ตลอดจนไฟล์ชั่วคราวของ
โปรแกรมเว็บบราวเซอร์ที่เก็บในแต่ละครั้งที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่าไฟล์เหล่า
นั้นไม่มีไวรัสแฝงตัวมา ดังนั้นจึงควรที่จะทำการตรวจหาไวรัส โดยการสแกนหาทั้งระบบ อาจจะเป็น
ทุกเย็นของวันศุกร์ก่อนกลับบ้านก็เป็นได้

5.มาตรการด้านจริยธรรมคอมพิวเตอร์ที่ควบคุมการใช้อินเทอเน็ตที่เหมาะสมกับสังคมaปัจจุบันได้แก่
        1. กฏหมายคุ้มครองข้องมูลส่วนบุคคล
        2. กฏหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์
        3. กฏหมายพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
        4. กฏหมายการแลกเปลี่ยนข้อมูงทางอิเล็กทอนิกส์
        5. กฏหมายลายมือชื่ออิเล็กทอนิกส์
        6. กฏหมายการโอนเงินทางอิเล็กทอนิกส์
        7. กฏหมายโทลคมนาคม
        8. กฏหมายระหว่างประเทศ
        9. กฏหมายืั้เกี่ยวเนื่องกับระบบอินเตอร์เน็ต
       10. กฏหมายพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมอิเล็กทอนิกส์และคอมพิวเตอร์



ที่มา : 
http://windows.microsoft.com/th-th/windows/what-is-firewall#1TC=windows-7
เอกสารประกอบการเรียน



แบบฝึกหัดบทที่ 6 วิชา การจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน 0026008

แบบฝึกหัด
บทที่6 (กิจกรรม 6)                                                                              กลุ่มเรียนที่ 3
รายวิชา กาารจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน                  รหัสวิชา 0026008
ชื่อ-สกุล  นางสาวสมฤทัย    ทองบ่อ                        รหัสนิสิต56011110070 สาขา ARC

1. การประยุกต์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ เป็นความหมายของข้อใด?
    ก. เทคโนโลยีสารสนเทศ
    ข. เทคโนโลยี
    ค. สารสนเทศ
    ง. พัฒนาการ

2. เทคโนโลยีสารสนเทศใดก่อให้เกิดผลด้านการเสริมสร้างความเท่าเทียมกันในสังคม?
    ก. ควบคุมเครื่องปรับอากาศ
    ข. ระบบการเรียนการสอนทางไกล
    ค. การสร้างสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
    ง. การพยากรณ์อากาศ

3.การฝากถอนเงินผ่านตู้ ATM เป็นลักษณะเด่นของเทคโนโลยีสารสนเทศข้อใด?
    ก. ระบบอัตโนมัติ
    ข. เปลี่ยนรูปเเบบการบริการเป็นเเบบกระจาย
    ค. เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินการในหน่วยงานต่างๆ
    ง. เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

4. ข้อใดคือการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศ?
    ก. ระบบการโอนถ่ายเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
    ข. บัตรเอทีเอ็ม บัตรเครดิต
    ค. การติดต่อข้อมูลทางเครือข่าย
    ง. ถูกทุกข้อ

5. เทคโนโลยีสารสนเทศหมายถึงข้อใด?
    ก. การประยุกต์เอาความรู้มาทำให้เกิดประโยชน์ต่อมวลมนุษย์
    ข. ข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี
    ค. การนำเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์มาสร้างข้อมูลเพิ่มให้กับสารสนเทศ
    ง. การนำเอาคอมพิวเตอร์มาใช้ในการจัดเก็บข้อมูล

6.เครื่องมือที่สำคัญในการจัดการสารสนเทศในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศคืออะไร?
    ก. เทคโนโลยีการสื่อสาร
    ข. สารสนเทศ
    ค. คอมพิวเตอร์
    ง. ถูกทุกข้อ

7. ข้อใดไม่ใช่บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศ?
    ก. เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
    ข. เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถเปลี่อนสั่งซื้อสินค้าจากที่บ้าน หรือสอบถามผลสอบได้
    ค. เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้บุคคลทุกระดับติดต่อกันได้อย่างรวดเร็ว
    ง. เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้มีการสร้างหอพักอาศัยที่มีคุณภาพ
8. ข้อใดไม่ใช่อุปกรณ์ที่ช่วยงานด้านสารสนเทศ?
    ก. เครื่องถ่ายเอกสาร
    ข. เครื่องโทรสาร
    ค. เครื่องมินิคอมพิวเตอร์
    ง. โทรทัศน์ วิทยุ

9. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ?
    ก. เป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจ
    ข. พัฒนาอย่างรวดเร็วทั้งทางด้านฮาร์ดเเวร์ ซอฟต์เเวร์ ข้อมูล และการสื่อสาร
    ค. ไม่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
    ง. จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น

10. ข้อใดคือประโยชน์ที่ได้จากการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้กับการเรียน?
    ก. ตรวจสอบผลการลงทะเบียน ผลการสอบได้
    ข. สามารถสืบค้นข้อมูลได้จากเเหล่งข้อมูลที่มีอยู่ทั่วโลกได้
    ค. ติดต่อสื่อสารกับเพื่อน ครู อาจารย์ หรือส่งงานได้ทุกที่
    ง. ถูกทุกข้อ 

แบบฝึกหัดบทที่ 5 วิชา การจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน 0026008

แบบฝึกหัด
บทที่5 (กิจกรรม 5)                                                                              กลุ่มเรียนที่ 3
รายวิชา กาารจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน                  รหัสวิชา 0026008
ชื่อ-สกุล  นางสาวสมฤทัย    ทองบ่อ                        รหัสนิสิต56011110070 สาขา ARC

คำชี้แจง จงตอบคำถามต่อไปนี้

1. จงอธิบายความหมายของการจัดการสารสนเทศ
       การจัดการสารสนเทศ หมายถึง การผลิต  จัดเก็บ  ประมวลผล  ค้นหาและเผยแพร่สารสรเทศ   โดยจัดให้มีระบบสารสนเทศ   การกระจายของสารสนเทศ   ทั้งภายในและภายนอกองค์กร   โดยมีการนำเอาเทคโนโลยีต่างๆโดยเฉพาะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร   มาใช้ในการจัดการ  รวมทั้งมีนโยบายหรือกลยุทธ์ระดับองค์การในการจัดการสารสนเทศ

2. การจัดการสารสนเทศมีความสำคัญต่อบุคคลและองค์กรอย่างไร
         ความสำคัญของการจัดการสารสนเทศต่อบุคคล
              ในด้านของการดำรงชีวิตประจำวัน   การศึกษา  และการทำงานประกอบอาชีพต่างๆเพื่อใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่น   มีความก้าวหน้าและมีความสุข  อาทิ  เพื่อการดูแลรักษาสุขภาพ   การจัดการค่าใช้จ่ายในครอบครัว  ค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล   การดูแลอาคารที่อยู่ต่างๆ
              ด้านการทำงาน   บุคคลจำเป็นต้องใช้สารสนเทศทั้งที่เกี่ยวข้องกับองค์การ   ภาระหน้าที่   การประกอบการทำงานทั้งระดับบริหารและระดับปฏิบัติการ   การจัดเก็บเอกสารสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบตามภารกิจส่วนตนช่วยสนับสนุนให้สามารถทำงานให้ประสบความสำเร็จได้ทันการณ์   ทันเวลา
              ความสำคัญของการจัดการสารสนเทศต่อองค์กร
         1) ด้านการบริหารจัดการ   เพื่อวิเคราะห์ปัญหา   ทางเลือกในการแก้ปัญหา   การตัดสินใจ  การกำหนดทิศทางขององค์กร   ให้สามารถแข่งขันกับองค์กรคู่แข่งต่างๆ   จึงจำเป็นต้องได้รับสารสนเทศที่เหมาะสม   ถูกต้อง   ครบถ้วน   ทันการณ์และทันสมัย   เพื่อใช้ประกอบภารกิจตามหน้าที่   ให้สามารถ บริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
         2) ด้านการดำเนินงาน   เพิ่มประสิทธิภาพและความคล่องตัวในการดำเนินงาน   หลักฐานที่บันทึกการดำเนินการในด้านต่างๆตามที่หน่วยงานดำเนินการ   ช่วยให้การใช้สารสนเทศเพื่อรองรับการปฏิบัติงานตามกระแสงานหรือขั้นตอน
         3) ด้านกฎหมาย   โดยเฉพาะสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับการเงินและบัญชีที่ต้องรวบรวมจัดเก็บอย่างต่อเนื่องเป็นระบบ   รวมทั้งมีการตรวจสอบความถูกต้องทั้งจากหน่วยงานภายในองค์กรหรือหน่วยงานภายนอกตามกฎหมาย   เพื่อเป็นการแสดงสภนระบบ   รวมทั้งมีการตรวจสอบความถูกต้องทั้งจากหน่วยงานภายในองค์กรหรือหน่วยงานภายนอกตามกฎหมาย   เพื่อเป็นการแสดงสภานะทางการเงินขององค์การอย่างถูกต้องและเป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับต่างๆอย่างครบถ้วน

3. พัฒนาการของการจัดการสารสนเทศแบ่งออกเป็นกี่ยุค   อะไรบ้าง
          แบ่งได้  2  ยุค
           1. การจัดการสารสนเทศด้วยระบบมือ
           2. การจัดการสารสนเทศโดยใช้คอมพิวเตอร์

4.จงยกตัวอย่างการจัดการสารสนเทศที่นิสิตใช้ในชีวิตประจำวัน
มาอย่างน้อย   3   ตัวอย่าง
             การเรียนผ่านสื่อดิจิตอล
            - การจัดการเนื้อหาในเว็ปไซต์ของตนเอง ( my blogger )
           การค้นหาและส่งคืนสารสนเทศในสำนักวิทยบริการ
           การเข้าถึงระบบลงทะเบียนและเข้าใช้ระบบของมหาวิทยาลัย
           การชำระค่าไฟ   ค่าน้ำ  ของในแต่ละเดือน


ที่มา : http://203.172.211.204/technology/techno1/c2-2.htm