วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

บทความที่ 4 การเลี้ยงและดูแลแคคตัสหรือตะบองเพชร

การเลี้ยงและดูแลแคคตัสหรือตะบองเพชร

       มีคำพูดที่ได้ยินอยู่เสมอว่า ถ้าเลี้ยงแคคตัสตาย ก็ไม่ต้องเลี้ยงต้นอะไรแล้ว” แต่สำหรับคนที่เคยเลี้ยงมาแล้ว ก็มักจะพูดว่า “เลี้ยงอยากจัง เน่าตายหมดเลย ต้นไม่สวยเหมือนตอนที่ซื้อมาเลย” สรุปว่า เลี้ยงง่ายหรือยากก็ไม่รู้ แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาที่เคยเลี้ยงดูแลพวกเขาอยู่ 3 ช่วงใหญ่ ๆ พบว่า ถ้าเข้าใจพื้นฐานความต้องการของต้นไม้พวกเขาเหล่านี้ดีแล้ว การเลี้ยงและดูแลแคคตัสก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยครับ แต่ที่เลี้ยง ๆ แล้วตาย นั่นเป็นเพราะดูแลเขาอย่างผิดวิธีนั่นเอง
      ธรรมชาติของแคคตัสส่วนใหญ่เกิดในทะเลทราย ที่โดนแสงแดดจัดทั้งวัน แถมฟ้าฝนก็ไม่ค่อยจะตก น้ำก็ไม่ค่อยจะมี แค่เรื่องนี้ เราก็น่าจะทราบได้ดีแล้วว่า การดูแลพวกเขาให้ดี ต้องทำอย่างไร จุดหลักจากข้อมูลข้างต้น ก็จะพบว่า แคคตัสต้องวางให้โดนแดดจัด ๆ ทั้งวัน และไม่ต้องรดน้ำให้เขามาก พวกเขาเอาตัวรอดได้จากการเก็บน้ำไว้ในลำต้นอันอวบอิ่มอยู่แล้ว
       ในบ้านเรา ถ้าเราไปซื้อแคคตัสจากร้านค้ามา ในการเลี้ยงดูของฟาร์มแต่ละฟาร์มนั้น ส่วนมากเขาจะเลี้ยงกันในโรงเรือนแบบปิด มีหลังคาเป็นหลังคาโปร่งแสงเพื่อให้แสงแดดส่องเข้ามาได้ตลอดทั้งวัน แต่จะกันน้ำกันฝนที่ตกลงมาเพียงเท่านั้นเอง การรดน้ำ ก็จะทำการรด 3-5 วันต่อครั้ง ดังนั้น เวลาที่เราไปซื้อหามาแล้วเอาพวกเขาไปตั้งบนโต๊ะทำงาน ห้องรับแขก โดยทันที แบบนี้ สักพักก็เตรียมเงินไว้ซื้อใหม่ได้เลยครับ เพราะพวกเขาจะค่อย ๆ ตายไปแบบที่คุณเองก็ไม่รู้ตัว
พื้นฐานความต้องการของต้นไม้พวกเขาเหล่านี้ดีแล้ว การเลี้ยงและดูแลแคคตัสก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยครับ แต่ที่เลี้ยง ๆ แล้วตาย นั่นเป็นเพราะดูแลเขาอย่างผิดวิธีนั่นเอง
สถานที่ปลูกเลี้ยงแคคตัส
         การดูแลให้พวกเขางดงาม สวยเหมือนตอนที่ซื้อมา ที่ควรทำก็ต้องทำการเลี้ยงดูให้เหมือนกับฟาร์มนั่นแหละครับ เป็นโรงเรือนหลังคาใส แต่ว่าจะให้ทำแบบนั้นก็คงลำบากจนเกินไป ดังนั้น เราก็ต้องค่อย ๆ ให้พวกเขาปรับตัวทีละนิด เช่น วางพวกเขาไว้ที่ระเบียงที่โดนแดดเกือบทั้งวัน สำหรับคนที่พักอยู่ตามคอนโด จะอยู่ตะวันออกหรือตะวันตก ที่มีแสงแดดก็คงโชคดีหน่อย แต่ถ้าไม่มีแสงแดดเลย ก็ไม่ควรซื้อพวกเขามาเลี้ยงเลยนะครับ ตายเสียเปล่า ๆ
       สำหรับคนที่อยู่บ้านมีสนามมีพื้นที่ที่โดนแดดจัดทั้งวัน ก็จะดีมาก สามารถเอาพวกเขาไปตากแดดได้เต็มวันเลยทีเดียว แต่ถ้าเป็นช่วงหน้าฝน ก็หาขวดพลาสติกใสมาตัดด้านก้นขวดออก แล้วครอบต้นแคคตัสไว้เป็นต้น ๆ เลยก็จะป้องกันน้ำฝนได้ดีครับ ด้านปากขวดไม่ต้องปิดฝานะ อากาศจะได้ระบายถ่ายเทได้ แต่ถ้ามีหลาย ๆ ต้น ก็ทำหลังคาใสมาบังไว้เลยก็จะดีมากครับ
       กรณีที่อยากเอามาวางประดับบนโต๊ะบ้าง ก็ยังสามารถทำได้ครับ ก็คือเลี้ยงสักหลาย ๆ ต้นหน่อย แล้วเวียนเอาพวกเขามาตั้งประดับสัก 2-3 วัน แล้วก็เอาออกไปเปลี่ยนคืนนั่นเอง การทำแบบนี้ ก็ใช่ว่าจะดีนะครับ แค่สามารถยืดชีวิตพวกเขาไปได้นานขึ้นก็เท่านั้นเอง นาน ๆ ไป ก็อาจจะแคระแกรนได้เช่นกันครับ แสงแดดจำเป็นต่อชีวิตพวกเขามาก เป็นพันธุ์หนาม หนามก็จะยาวสวยงาม เป็นพันธุ์ขนขาวปุย ก็จะขาวหนานุ่มสวยงามเช่นกัน
การดูแลรดน้ำแคคตัส
       มาว่าถึงอีกเรื่องที่สำคัญก็คือ การให้น้ำ แคคตัสเป็นพืชที่ไม่ชอบน้ำมาก ให้น้ำมากคือการฆ่าพวกเขาให้ตายนั่นเอง การเอาตัวรอดในเรื่องน้ำ พวกเขาพัฒนามาเป็นล้าน ๆ ปีแล้ว นั่นคือลำต้นที่อวบอิ่มเก็บกักน้ำไว้ภายในนั่นเอง
       ให้สังเกตดินปลูกเลี้ยงว่าแห้งแล้วหรือยัง ถ้าแห้งแล้วก็ให้ใช้ฝักบัวรดให้ชุ่ม ส่วนระยะเวลาห่างในการรดน้ำ สังเกตุง่าย ๆ หลังจากที่เรารดน้ำไปวันแรก ให้เช็คดูว่า อีกกี่วันดินถึงจะแห้ง เมื่อดินแห้งแล้วให้เว้นไปอีก 1 วัน แล้วค่อยรดน้ำใหม่ โดยให้ปล่อยดินได้แห้งบ้าง ไม่ใช่ชุ่มฉ่ำเปียกอยู่ตลอดเวลา ขนาดของกระถางเล็ก กระถางใหญ่ ก็มีผลกับระยะในการแห้งของดิน โดยเฉลี่ยแล้วจะรดประมาณ 4-5 วันครั้ง ถ้าเป็นไม้ต่อที่ต้องการน้ำมากหน่อย ก็จะรดวันเว้นวัน ถ้าเป็นกลุ่มฮาโวเทียจะรดพร้อมกับแคคตัส แต่จะสเปรย์น้ำให้วันเว้นวัน ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์อีกต่างหากครับ
การใส่ปุ๋ยแคคตัส
        เราสามารถใช้ปุ๋ยกล้วยไม้ให้แก่แคคตัสได้ แต่ควรใช้ในปริมาณที่ต่ำกว่าฉลากข้างขวดระบุไว้  ไม่ควรให้ปุ๋ยแคคตัสในปริมาณมาก เพราะอาจเกิดผลร้ายมากกว่าผลดี
      วิธีให้ปุ๋ยให้ได้ผลดีคือ ผสมให้เจือจางกว่าปกติ แต่รดให้บ่อยกว่าปกติ ใช้ปุ๋ยกล้วยไม้ 1 กรัม ต่อน้ำ 1 ลิตร รดทุก ๆ 2 สัปดาห์ก็พอครับ
       การให้ปุ๋ยแก่ต้นไม้ทุกชนิด ควรเริ่มให้เมื่อต้นไม้สามารถตั้งตัวได้ดีแล้ว ระบบรากเดินดีพร้อมที่จะกินอาหารได้ เวลาที่เราเปลี่ยนกระถางใหม่ ๆ ควรงดปุ๋ยไปจนกว่ายอดของต้นจะเริ่มเดิน นั่นหมายถึงสัญญานว่า ระบบรากเริ่มทำงานแล้ว  การรักษาระยะเวลาให้สม่ำเสมอในการให้ปุ๋ย จึงเป็นสิ่งควรยึดถือเป็นหลักในการปฏิบัติ เพื่อสุขภาพที่ดีของแคคตัส
ส่วนยาฆ่าแมลงหรือยาป้องกันเชื้อราต่าง ๆ ผสมน้ำรดทุก ๆ 2-3 เดือน ต่อ 1 ครั้งก็เพียงพอแล้ว
การปลูกหรือเปลี่ยนกระถางแคคตัส
       การปลูกจะกระทำเมื่อแยกหน่อหรือได้ต้นใหม่ ส่วนการเปลี่ยนกระถางจะกระทำเมื่อต้นโตคับกระถางเก่า แต่อย่าลืมว่าต้องใช้ดินปลูกโดยเฉพาะเท่านั้น จะซื้อแบบที่เป็นถุงสำเร็จรูปสำหรับปลูกแคคตัสโดยเฉพาะ หรือจะผสมเองก็แล้วแต่เลย สูตรสำหรับดินก็มีให้เลือกหลากหลายมากมายอยู่เหมือนกันครับ สำหรับส่วนประกอบหลักที่เราจะผสมลงไปก็ได้แก่
เนื้อดิน เช่น ดินขุยไผ่  ดินใบก้ามปู ดินที่ผสมใบไม้หมักต่าง ๆ  แกลบ ขุยมะพร้าว พีทมอส หรือ มูลสัตว์ต่าง ๆ
วัสดุที่ช่วยเพิ่มความโปร่งให้ดิน เช่น เพอร์ไลท์ (Perlite) หินภูเขาไฟ (Pumice) เวอร์มิคูไลท์ (Vermiculite) กรวดแม่น้ำ มะพร้าวสับ ถ่าน
สารเคมีต่าง ๆ เช่น ปุ๋ยละลายช้า ยาฆ่าแมลงแบบเกร็ด (สตาร์เกิ้ลจี ฟูราดาน) ยาฆ่าเชื้อรา
        ส่วนประกอบหลัก 3 ส่วนนี้ ควรจะเลือกชนิดที่นำมาผสม ให้เข้ากับความสะดวกในการซื้อหา และให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่นั้น ๆ
        ในการผสมดินนั้น เราควรคำนึงถึงความสะอาดของดิน เพื่อไม่ให้เกิดเชื้อรา หรือเชื้อโรคต่าง ๆในวัสดุที่เราจะนำมาผสม เราควรทำความสะอาด หรือ ตากแดดไว้สัก 3–5 วัน ก่อนที่จะนำมาผสม  ส่วนประกอบที่จะนำมาผสม มีธาตุอาหารเพียงพอหรือไม่ ดินมีความโปร่งพอหรือไม่ ดินโปร่งจะทำให้ดินแห้งไว น้ำสามารถซึมผ่านไปได้ทั้งกระถาง ตามธรรมชาติของแคคตัสแล้ว ไม่ได้ต้องการเนื้อดินเยอะ ควรเน้นไปที่วัสดุที่ช่วยความโปร่งให้ดิน แล้วใส่ดินไปประมาณ ¼ ก็เพียงพอแล้ว ข้อสำคัญ หลังจากที่ผสมดินเสร็จแล้ว ควรรดน้ำให้ชุ่ม และตากแดดทิ้งไว้ประมาณ 1-2 อาทิตย์ เราจะได้ดินที่สะอาดและไม่มีความร้อน จากการย่อยสลายตัวของอินทรีย์สารในดิน
       ส่วนสูตรดิน มีหลากหลายมาก ขึ้นอยู่กับวัสดุด้วยครับ ในที่นี้ ขอใช้สูตรของ Jibi Cactus ครับ อีกเรื่องที่สำคัญคือ ขนาดของกระถางต้องเลือกให้เหมาะสมกับขนาดของต้นแคคตัส ไม่เล็กและใหญ่จนเกินไปด้วย
1. ดินร่วน 1 ถ้วย
2. ทรายหยาบ 1 ถ้วย
3. พีทมอส 1 ถ้วย
4. หินภูเขาไฟ 1 ถ้วย
5. เพอร์ไลท์ 1 ถ้วย
6. แกลบดำ ½ ถ้วย
         ส่วนวัสดุที่นำมาโรยหน้าดิน ให้เลือกหินที่ไม่คมหรือแหลมเกินไปจนทำให้บาดต้น สีสันให้เข้ากับธรรมชาติ การโรยหน้าดินช่วยป้องกันไม่ได้เศษดินดำ ๆ กระเด็นไปโดนปุยขาว ๆ หรือเลอะโคนต้น เพียงเท่านี้ก็ทำให้แคคตัสของเราดูสวยขึ้นแล้ว

ที่มา : http://manopas.com

บทความที่ 3 ประโยชน์ของผักแต่ละชนิด

ประโยชน์ของผักต่างๆ แต่ละชนิดมาฝากกัน
สะเดา  ( Neem  tree)
ประโยชน์ : มีเบต้าแคโรทีนสูง   บำรุงสายตา   เสริมระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้นอนหลับ

ผักกาดขาว ( Chinese white cabbage)
ประโยชน์ :  ช่วยระบบย่อยอาหาร  ขับปัสสาวะ  แก้ไอ  มีโฟเลทสูง บำรุงคุณแม่ตั้งครรภ์
ต้นหอม  ( Shallot)
ประโยชน์ :  มีน้ำมันหอมระเหย  บรรเทาอาการหวัด   มีสารฟลาโวนอยด์ต้านมะเร็ง
แครอท ( Carrot)
ประโยชน์ : เบต้าแคโรทีนป้องกันโรคมะเร็ง  มีแคลเซียม  แพคเตท   ลดระดับ คลอเลสเตอรอลได้
หอมหัวใหญ่ ( Onion)
ประโยชน์ :  มีสารฟลาโวนอยด์  ช่วยลดอาการของโรคหัวใจ   ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
คะน้า ( Chinese kale)
ประโยชน์ : มีแคลเซียมและสารต้านอนุมูลอิสระสูง   ป้องกันโรคกระดูกพรุน และมะเร็ง
พริก ( Chilli)
ประโยชน์ : มีแคปไซซินกระตุ้นการขยายตัวของหลอดเลือด   ช่วยให้เจริญอาหาร  ขับเหงื่อ
กระเจี๊ยบเขียว ( Okra)
ประโยชน์ : ลดความดันโลหิต  บำรุงสมอง   ลดอาการกระเพาะหรือลำไส้อักเสบ
ผักกระเฉด( Water mimosa)
ประโยชน์ :  ดับพิษไข้  กากใยช่วยระบบขับของเสีย   เพิ่มการเผาผลาญสารอาหาร
ตำลึง ( Ivy  gourd)
ประโยชน์ :  มีวิตามินเอสูง  ดีต่อดวงตา  เส้นใยจับไนเตรต   ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร
มะระ ( Chinese bitter cucumber)
ประโยชน์ : มีแคลเซียม  ฟอสฟอรัส  เป็นยาระบายอ่อน ๆ   น้ำคั้นลดระดับน้ำตาลในเลือด
ผักบุ้ง ( Water  spinach)
ประโยชน์ : บรรเทาอาการร้อนใน  มีวิตามินเอบำรุงสายตา   ธาตุเหล็กบำรุงเลือด
ขึ้นฉ่าย ( Celery)
ประโยชน์ : กลิ่นหอม  ช่วยเจริญอาหาร  มีวิตามินเอ  บี  และซี   บำรุงสมอง ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด
เห็ด ( Mushroom)
ประโยชน์ :  แคลอรีน้อย  ไขมันต่ำ  มีวิตามินดีสูง   ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม เสริมกระดูกและฟัน
บัวบก ( Indian  pennywort)
ประโยชน์ : มีวิตามินบีสูง  ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย   บำรุงสมองและความจำ บำรุงผิวพรรณ ลดอาการอักเสบ
สะระแหน่ ( Kitchen mint)
ประโยชน์ :  กลิ่นหอมเย็นของใบให้ความสดชื่น   ทำให้ความคิดแจ่มใส  แก้ปวดหัว
ชะพลู ( Cha-plu)
ประโยชน์ : รสชาติเผ็ดเล็กน้อย  แก้จุกเสียด  ขับเสมหะ   มีแคลเซียมสูง
ชะอม ( Cha-om)
ประโยชน์ : ช่วยลดความร้อนในร่างกาย  ขับลมในลำไส้   มีเส้นใยคอยจับ อนุมูลอิสระ
หัวปลี ( Banana  flower)
ประโยชน์ : รสฝาด  แก้ร้อนใน  กระหายน้ำ และบำรุงน้ำนม   มีกากใย  โปรตีน และวิตามินซีสูง
กระเทียม ( Garlic)
ประโยชน์ : ลดไขมันในเลือด  ป้องกันหัวใจขาดเลือด ใบกระเทียมมีโฟเลท เหล็ก วิตามินซีสูง
โหระพา ( Sweet  basil)
ประโยชน์ :  น้ำมันหอมระเหยทำให้โล่งจมูก  ช่วยระบายลม   มีเบต้าแคโรทีน  แคลเซียม
ขิง ( Ginger)
ประโยชน์ : บรรเทาอาการหวัดเย็น  ลดอาการคัดจมูก รสเผ็ดร้อน   แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ
ข่า ( Galangal)
ประโยชน์ : น้ำมันหอมระเหย  ช่วยระบบย่อยอาหารขับลม   มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย  และเชื้อรา
กระชาย ( Wild ginger)
ประโยชน์ : บรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ  บำรุงธาตุ   มีวิตามินเอและแคลเซียม
ถั่วพู ( Winged bean)
ประโยชน์ : ให้คุณค่าทางอาหารสูง  มีโปรตีน  แคลเซียม   ฟอสฟอรัส  และสาร  ช่วยย่อยกรดไขมันอิ่มตัว
ดอกขจร ( Cowslip  creeper)
ประโยชน์ :  กระตุ้นให้รู้รสอาหาร  ให้พลังงานสูง  ประกอบด้วย   คาร์โบไฮเดรต  โปรตีน  ไขมัน
ถั่วฝักยาว ( Long bean)
ประโยชน์ : มีเส้นใย  ช่วยลดคอเลสเตอรอล  มีวิตามินซี   ช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็ก  บำรุงเลือด
มะเขือเทศ ( Tomato)
ประโยชน์ : มีวิตามินเอสูง  วิตามินซี  รสเปรี้ยว   ช่วยกระตุ้นน้ำย่อย  และแก้อาการคอแห้ง
กะหล่ำปลี ( White cabbage)
ประโยชน์ : มีกลูโคซิโนเลท  เมื่อแตกตัวจะเป็นสารต้านมะเร็ง   และมีวิตามินซีสูง
มะเขือพวง ( Pla te brush eggplant)
ประโยชน์ :  ช่วยให้เจริญอาหารและช่วยลดความดันเลือด   มีแคลเซียม  และฟอสฟอรัส
ผักชี ( Chinese  paraley)
ประโยชน์ : ขับลม  บำรุงธาตุ  ช่วยย่อยอาหาร  มีน้ำมันหอมระเหย   แก้หวัด  มีวิตามินเอและซีสูง
กุยช่าย ( Flowering chives)
ประโยชน์ :  มีกากใยช่วยระบายของเสีย   มีธาตุเหล็กช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง
ผักกาดหัว ( Chinese radish)
ประโยชน์ : แก้ไอ  ขับเสมหะ  เพิ่มภูมิต้านทางโรค   มีสารช่วยให้กระเพาะอาหารและลำไส้บีบตัวได้ดี
กะเพรา ( Holy basil)
ประโยชน์ : แก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง  มีเบต้าแคโรทีนสูง   ป้องกันโรคมะเร็ง  และโรคหัวใจขาดเลือดได้
แมงลัก ( Hairy  basil)
ประโยชน์ : ช่วยย่อยอาหาร  ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน  ขับลม   ขับเหงื่อ
ดอกแค ( Sesbania)
ประโยชน์ : กินแก้ไขช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง  เป็นยาระบายอ่อน ๆ  มีวิตามินเอสูง  บำรุงสายตา


ที่มา : http://www.deedeejang.com/3/2/1956.html

แบบฝึกหัดบทที่ 8 วิชา การจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน 0026008

แบบฝึกหัด
บทที่8 (กิจกรรม8)                                                                              กลุ่มเรียนที่ 3
รายวิชา กาารจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน                  รหัสวิชา 0026008
ชื่อ-สกุล  นางสาวสมฤทัย    ทองบ่อ                        รหัสนิสิต56011110070 สาขา ARC

คำชี้แจง  จงตอบคำถามต่อไปนี้

1) “นาย A ทำการเขียนโปรแกรมขึ้นมาโปรแกรมหนึ่งเพื่อทดลองโจมตีการทำงานของคอมพิวเตอร์ สามารถใช้งานได้ โดยทำการระบุ IP-Address โปรแกรมนี้สร้างขึ้นมาเพื่อทดลองในงานวิจัย นาย B ที่เป็นเพื่อนสนิทของนาย A ได้นำโปรแกรมนี้ไปทดลองใช้แกล้งนางสาว C เมื่อนางสาว C ทราบเขาก็เลยนำโปรแกรมนี้ ไปใช้และส่งต่อให้เพื่อนๆ ที่รู้จักได้ทดลอง” การกระทำอย่างนี้เป็น ผิดจริยธรรม หรือผิดกฎหมายใดๆ หรือไม่  หากไม่ผิดเพราะเหตุใด และหากผิด ผิดในแง่ไหน จงอธิบาย

       เป็นการกระทำที่ผิดจริยธรรม คือ นาย B และนางสาว C ไม่ได้ทำการขออนุญาติ นาย A อย่างถูกกิจลักษณะ อาจทำให้นาย A เสียหายได้ และผิดกฎหมาย คือ  กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Law) สาระของกฎหมายนี้มุ่งเน้นให้การคุ้มครองสิทธิในความเป็นส่วนตัว ไม่ให้มีการนำข้อมูลของบุคคลไปใช้ในทางมิชอบ

 2) “นาย J ได้ทำการสร้างโฮมเพจ เพื่อบอกว่าโลกแบนโดยมีหลักฐาน อ้างอิงจากตาราต่างๆ อีกทั้งรูปประกอบ เป็นการทำเพื่อความสนุกสนาน ไม่ได้ใช้ในการอ้างอิงทางวิชาการใดๆ เด็กชาย K เป็นนักเรียนในระดับประถมปลายททำรายงานส่งครูเป็นการบ้านภาคฤดูร้อนโดยใช้ข้อมูลจากโฮมเพจของนาย J” การกระทำอยางนี้เป็น ผิดจริยธรรม หรือผิดกฎหมายใดๆ หรือไม่ หากไม่ผิดเพราะเหตุใด และหากผิด ผิดในแง่ไหน จงอธิบาย


         การกระทำนี้อาจกระทำขึ้นด้วยความสนุกสนาน ไม่ได้ตั้งใจทำให้เกิดความเสื่อมเสียถึงผู้ใด แต่การกระทำเช่นนี้อาจทำให้เกิดความรำคาญแก่ผู้อื่น จึงเป็นการทำผิดจริยธรรมโดยตรง ทั้งการปลอมหลักฐาน และการหลอกลวง โดยไม่มีการทำการพิสูจน์ และยืนยันจากผู้ที่มีความรู้ความสามารถและขาดความน่าเชื่อถือ อาจทำให้ตนเองหมดความน่าเวื่อถือไปด้วย   


ที่มา : เอกสารประกอบการเรียน

แบบฝึกหัดบทที่ 7 วิชา การจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน 0026008

แบบฝึกหัด
บทที่7 (กิจกรรม7)                                                                              กลุ่มเรียนที่ 3
รายวิชา กาารจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน                  รหัสวิชา 0026008
ชื่อ-สกุล  นางสาวสมฤทัย    ทองบ่อ                        รหัสนิสิต56011110070 สาขา ARC

1. หน้าที่ของไฟร์วอลล์ (Fire-well) 
       เป็นระบบรักษาความปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอร์แบบหนึ่งที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งมีทั้งอุปกรณ์ Hardware และ Software โดยหน้าที่หลัก ๆ ของ Firewall นั้นจะทำหน้าที่ควบคุมการใช้งานระหว่าง Network ต่าง ๆ

2.จงอธิบายคำศัทพ์ต่อไปนี้ ที่เกี่ยวข้องกับไวรัสคอมพิวเตอร์ worm,virus computer,spy ware,adware 
มาอย่างน้อย 1 โปรแกรม
       Worm เป็นไวรัสประเภทหนึ่งที่ก่อกวน สามารถทำสำเนาตัวเอง (copy) และแพร่กระจายไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ 
เครื่องอื่นๆ ได้ ทำให้คอมพิวเตอร์ส่วนตัว และในระบบเครือข่ายเสียหายไวรัส วอร์ม นี้ปัจจุบันมีหลากหลายมาก มีการแพร่ กระจายของไวรัสได้รวดเร็วมาก ทั้งนี้เนื่องจากไวรัส วอร์ม จะสามารถแพร่กระจายผ่านทางอีเมล์ได้ ไม่ว่าจะเป็น 
Outlook Express หรือ Microsoft Outlook

3.ไวรัสคอมพิวเตอร์แบ่งออกเป็นกี่ชนิด อะไรบ้าง
       แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ Application viruses และ System viruses

4.ให้นิสิตอธิบายแนวทางในการป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์มาอย่างน้อย 5 ข้อ
         1.สร้างแผ่นบูต emergency disk เพื่อใช้ช่วยในการกู้ระบบ การสร้างแผ่น emergency disk
หรือบางครั้งอาจเรียกว่า Rescure disk นั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเครื่องติดไวรัสที่ไม่สามารถ
จะกำจัดได้โดยผ่านระบบปฏิบัติการวินโดวส์ หรือผลกระทบของไวรัสที่ทำให้เครื่องไม่สามารถบูต
ได้ตามปกติเราก็สามารถใช้แผ่น emergency diskมาช่วยในการกู้ข้อมูลและกำจัดไวรัสออกจนทำ
ให้บูตเครื่องได้ตามปกติ 
         2.ปรับปรุงฐานข้อมูลไวรัสทุกวันหรืออย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ขั้นตอนนี้เปรียบเสมือนหัวใจ
ของการใช้งานโปรแกรมป้องกันไวรัส เนื่องจากไวรัสคอมพิวเตอร์ถูกพัฒนาออกมาใหม่ทุกวัน 
ดังนั้นจึงควรที่จะสอนโปรแกรมป้องกันไวรัสให้รู้จักไวรัสชนิดใหม่ๆด้วย โดยการปรับปรุงฐานข้อมูล
ไวรัสที่ใช้งานนั่นเอง 
         3.เปิดใช้งาน auto - protect โดยส่วนใหญ่โปรแกรมป้องกันไวรัสที่ติดตั้งจะทำการสร้าง
โพรเซสที่จะตรวจหาไวรัสตลอดเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัสสามารถถูกเอ็กซิคิวต์ในเครื่องได้
         4.ก่อนเปิดไฟล์จากแผ่นที่นำมาใช้จากที่อื่นให้สแกนหาไวรัสก่อน แผ่นดิสก์ที่นำไปใช้ที่อื่นแล้ว
นำกลับมาเปิดที่เครื่อง จะมั่นใจได้อย่างไรว่าแผ่นนั้นไม่มีไวรัสอยู่ ดังนั้นควรจะตรวจหาไวรัสใน
แผ่นก่อนที่จะเปิดอ่านข้อมูลที่ถูกบรรจุในแผ่นดิสก์ดังกล่าว
         5.ทำการตรวจหาไวรัสทุกสัปดาห์ ในแต่ละสัปดาห์แน่นอนว่ามีไฟล์ที่ผ่านเข้าออกเครื่องมาก
มายไม่ว่าจะเป็น อี-เมล์ที่ได้รับ ไฟล์ที่ดาวน์โหลดมาจากอินเทอร์เน็ต ตลอดจนไฟล์ชั่วคราวของ
โปรแกรมเว็บบราวเซอร์ที่เก็บในแต่ละครั้งที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่าไฟล์เหล่า
นั้นไม่มีไวรัสแฝงตัวมา ดังนั้นจึงควรที่จะทำการตรวจหาไวรัส โดยการสแกนหาทั้งระบบ อาจจะเป็น
ทุกเย็นของวันศุกร์ก่อนกลับบ้านก็เป็นได้

5.มาตรการด้านจริยธรรมคอมพิวเตอร์ที่ควบคุมการใช้อินเทอเน็ตที่เหมาะสมกับสังคมaปัจจุบันได้แก่
        1. กฏหมายคุ้มครองข้องมูลส่วนบุคคล
        2. กฏหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์
        3. กฏหมายพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
        4. กฏหมายการแลกเปลี่ยนข้อมูงทางอิเล็กทอนิกส์
        5. กฏหมายลายมือชื่ออิเล็กทอนิกส์
        6. กฏหมายการโอนเงินทางอิเล็กทอนิกส์
        7. กฏหมายโทลคมนาคม
        8. กฏหมายระหว่างประเทศ
        9. กฏหมายืั้เกี่ยวเนื่องกับระบบอินเตอร์เน็ต
       10. กฏหมายพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมอิเล็กทอนิกส์และคอมพิวเตอร์



ที่มา : 
http://windows.microsoft.com/th-th/windows/what-is-firewall#1TC=windows-7
เอกสารประกอบการเรียน



แบบฝึกหัดบทที่ 6 วิชา การจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน 0026008

แบบฝึกหัด
บทที่6 (กิจกรรม 6)                                                                              กลุ่มเรียนที่ 3
รายวิชา กาารจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน                  รหัสวิชา 0026008
ชื่อ-สกุล  นางสาวสมฤทัย    ทองบ่อ                        รหัสนิสิต56011110070 สาขา ARC

1. การประยุกต์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ เป็นความหมายของข้อใด?
    ก. เทคโนโลยีสารสนเทศ
    ข. เทคโนโลยี
    ค. สารสนเทศ
    ง. พัฒนาการ

2. เทคโนโลยีสารสนเทศใดก่อให้เกิดผลด้านการเสริมสร้างความเท่าเทียมกันในสังคม?
    ก. ควบคุมเครื่องปรับอากาศ
    ข. ระบบการเรียนการสอนทางไกล
    ค. การสร้างสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
    ง. การพยากรณ์อากาศ

3.การฝากถอนเงินผ่านตู้ ATM เป็นลักษณะเด่นของเทคโนโลยีสารสนเทศข้อใด?
    ก. ระบบอัตโนมัติ
    ข. เปลี่ยนรูปเเบบการบริการเป็นเเบบกระจาย
    ค. เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินการในหน่วยงานต่างๆ
    ง. เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

4. ข้อใดคือการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศ?
    ก. ระบบการโอนถ่ายเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
    ข. บัตรเอทีเอ็ม บัตรเครดิต
    ค. การติดต่อข้อมูลทางเครือข่าย
    ง. ถูกทุกข้อ

5. เทคโนโลยีสารสนเทศหมายถึงข้อใด?
    ก. การประยุกต์เอาความรู้มาทำให้เกิดประโยชน์ต่อมวลมนุษย์
    ข. ข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี
    ค. การนำเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์มาสร้างข้อมูลเพิ่มให้กับสารสนเทศ
    ง. การนำเอาคอมพิวเตอร์มาใช้ในการจัดเก็บข้อมูล

6.เครื่องมือที่สำคัญในการจัดการสารสนเทศในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศคืออะไร?
    ก. เทคโนโลยีการสื่อสาร
    ข. สารสนเทศ
    ค. คอมพิวเตอร์
    ง. ถูกทุกข้อ

7. ข้อใดไม่ใช่บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศ?
    ก. เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
    ข. เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถเปลี่อนสั่งซื้อสินค้าจากที่บ้าน หรือสอบถามผลสอบได้
    ค. เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้บุคคลทุกระดับติดต่อกันได้อย่างรวดเร็ว
    ง. เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้มีการสร้างหอพักอาศัยที่มีคุณภาพ
8. ข้อใดไม่ใช่อุปกรณ์ที่ช่วยงานด้านสารสนเทศ?
    ก. เครื่องถ่ายเอกสาร
    ข. เครื่องโทรสาร
    ค. เครื่องมินิคอมพิวเตอร์
    ง. โทรทัศน์ วิทยุ

9. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ?
    ก. เป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจ
    ข. พัฒนาอย่างรวดเร็วทั้งทางด้านฮาร์ดเเวร์ ซอฟต์เเวร์ ข้อมูล และการสื่อสาร
    ค. ไม่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
    ง. จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น

10. ข้อใดคือประโยชน์ที่ได้จากการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้กับการเรียน?
    ก. ตรวจสอบผลการลงทะเบียน ผลการสอบได้
    ข. สามารถสืบค้นข้อมูลได้จากเเหล่งข้อมูลที่มีอยู่ทั่วโลกได้
    ค. ติดต่อสื่อสารกับเพื่อน ครู อาจารย์ หรือส่งงานได้ทุกที่
    ง. ถูกทุกข้อ 

แบบฝึกหัดบทที่ 5 วิชา การจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน 0026008

แบบฝึกหัด
บทที่5 (กิจกรรม 5)                                                                              กลุ่มเรียนที่ 3
รายวิชา กาารจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน                  รหัสวิชา 0026008
ชื่อ-สกุล  นางสาวสมฤทัย    ทองบ่อ                        รหัสนิสิต56011110070 สาขา ARC

คำชี้แจง จงตอบคำถามต่อไปนี้

1. จงอธิบายความหมายของการจัดการสารสนเทศ
       การจัดการสารสนเทศ หมายถึง การผลิต  จัดเก็บ  ประมวลผล  ค้นหาและเผยแพร่สารสรเทศ   โดยจัดให้มีระบบสารสนเทศ   การกระจายของสารสนเทศ   ทั้งภายในและภายนอกองค์กร   โดยมีการนำเอาเทคโนโลยีต่างๆโดยเฉพาะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร   มาใช้ในการจัดการ  รวมทั้งมีนโยบายหรือกลยุทธ์ระดับองค์การในการจัดการสารสนเทศ

2. การจัดการสารสนเทศมีความสำคัญต่อบุคคลและองค์กรอย่างไร
         ความสำคัญของการจัดการสารสนเทศต่อบุคคล
              ในด้านของการดำรงชีวิตประจำวัน   การศึกษา  และการทำงานประกอบอาชีพต่างๆเพื่อใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่น   มีความก้าวหน้าและมีความสุข  อาทิ  เพื่อการดูแลรักษาสุขภาพ   การจัดการค่าใช้จ่ายในครอบครัว  ค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล   การดูแลอาคารที่อยู่ต่างๆ
              ด้านการทำงาน   บุคคลจำเป็นต้องใช้สารสนเทศทั้งที่เกี่ยวข้องกับองค์การ   ภาระหน้าที่   การประกอบการทำงานทั้งระดับบริหารและระดับปฏิบัติการ   การจัดเก็บเอกสารสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบตามภารกิจส่วนตนช่วยสนับสนุนให้สามารถทำงานให้ประสบความสำเร็จได้ทันการณ์   ทันเวลา
              ความสำคัญของการจัดการสารสนเทศต่อองค์กร
         1) ด้านการบริหารจัดการ   เพื่อวิเคราะห์ปัญหา   ทางเลือกในการแก้ปัญหา   การตัดสินใจ  การกำหนดทิศทางขององค์กร   ให้สามารถแข่งขันกับองค์กรคู่แข่งต่างๆ   จึงจำเป็นต้องได้รับสารสนเทศที่เหมาะสม   ถูกต้อง   ครบถ้วน   ทันการณ์และทันสมัย   เพื่อใช้ประกอบภารกิจตามหน้าที่   ให้สามารถ บริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
         2) ด้านการดำเนินงาน   เพิ่มประสิทธิภาพและความคล่องตัวในการดำเนินงาน   หลักฐานที่บันทึกการดำเนินการในด้านต่างๆตามที่หน่วยงานดำเนินการ   ช่วยให้การใช้สารสนเทศเพื่อรองรับการปฏิบัติงานตามกระแสงานหรือขั้นตอน
         3) ด้านกฎหมาย   โดยเฉพาะสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับการเงินและบัญชีที่ต้องรวบรวมจัดเก็บอย่างต่อเนื่องเป็นระบบ   รวมทั้งมีการตรวจสอบความถูกต้องทั้งจากหน่วยงานภายในองค์กรหรือหน่วยงานภายนอกตามกฎหมาย   เพื่อเป็นการแสดงสภนระบบ   รวมทั้งมีการตรวจสอบความถูกต้องทั้งจากหน่วยงานภายในองค์กรหรือหน่วยงานภายนอกตามกฎหมาย   เพื่อเป็นการแสดงสภานะทางการเงินขององค์การอย่างถูกต้องและเป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับต่างๆอย่างครบถ้วน

3. พัฒนาการของการจัดการสารสนเทศแบ่งออกเป็นกี่ยุค   อะไรบ้าง
          แบ่งได้  2  ยุค
           1. การจัดการสารสนเทศด้วยระบบมือ
           2. การจัดการสารสนเทศโดยใช้คอมพิวเตอร์

4.จงยกตัวอย่างการจัดการสารสนเทศที่นิสิตใช้ในชีวิตประจำวัน
มาอย่างน้อย   3   ตัวอย่าง
             การเรียนผ่านสื่อดิจิตอล
            - การจัดการเนื้อหาในเว็ปไซต์ของตนเอง ( my blogger )
           การค้นหาและส่งคืนสารสนเทศในสำนักวิทยบริการ
           การเข้าถึงระบบลงทะเบียนและเข้าใช้ระบบของมหาวิทยาลัย
           การชำระค่าไฟ   ค่าน้ำ  ของในแต่ละเดือน


ที่มา : http://203.172.211.204/technology/techno1/c2-2.htm

วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558

บทความที่ 2 ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์

ความหมายห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์

E-Library หรือ ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์

     ความหมาย E-library มาจากคำว่า Electronic Library หรือห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง แหล่งความรู้ที่บันทึกข้อมูลไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่ายและให้บริการสารสนเทศทางอิเล็กทรอนิกส์หรือผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
     ประวัติความเป็นมา ห้องสมุดเป็นแหล่งสำคัญของชาติในการถ่ายทอดความรู้ ตามประกาศองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งชาติ ใน “กฎบัตรว่าด้วยหนังสือ” ตั้งแต่ปี 1972 มาจนถึงปัจจุบันประเทศต่าง ๆ ยังคงยึดมั่นในหลักการดังกล่าว ห้องสมุดจึงได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง เมื่อเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ กอปรกับสภาพสังคมที่ให้ความสำคัญกับฐานความรู้ห้องสมุดจึงมีขอบข่ายให้บริการกว้างขวางมากขึ้น และถูกเรียกขานด้วยชื่อที่แตกต่างกันออกไป เช่น ศูนย์ข้อมูลการศึกษา  ศูนย์เอกสาร และศูนย์วิทยบริการ ห้องสมุดเป็นสถาบันที่ทำหน้าที่จัดเก็บรวบรวมสารสนเทศ และอารยธรรมของมนุษยศาสตร์ในทุกยุคทุกสมัย ระบบและวิธีการจัดเก็บหนังสือและสารสนเทศในห้องสมุดยุคเดิมที่จัดจำแนกประเภทหนังสือและให้บริการต่าง ๆ ในระบบมือทั้งหมดนั้น ไม่สามารถตอบสนองความต้องการการใช้สารสนเทศของผู้บริการในโลกยุคข้อมูลข่าวสารได้ครบถ้วน ห้องสมุดจึงจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบระบบและวิธีการจัดเก็บเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการ โดยการนเทคโนโลยีสารสนเทศ  อันได้แก่ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการจัดเก็บค้นหาสารสนเทศ และเทคโนโลยีโทรคมนาคมที่ใช้ในการเชื่อมโยงผู้ใช้กับการฐานข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ ในระบบเครือข่ายที่เชื่อมโยงถึงกันทั้งภายในห้องสมุดเอง ภายในสถาบัน ระหว่างสถาบัน และระหว่างประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
     วัตถุประสงค์ เพื่อนำมาใช้แก้ปัญหาในเรื่องการจัดเก็บทรัพยากรห้องสมุดที่มีเพิ่มมากขึ้น (Reynolds, 1985 : 208) โดยการจัดเก็บสารสนเทศในห้องสมุดให้เป็นระบบฐานข้อมูลอัตโนมัติที่จัดเก็บสื่อต่าง ๆ ได้ทุกรูปแบบสามารถเชื่อมโยงกับเครือข่ายในระดับต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
     ลักษณะของห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์
1. การจัดการทรัพยากรสารสนเทศด้วยคอมพิวเตอร์
2. ความสามารถในการเข้าถึงสารสนเทศโดยทางอิเล็กทรอนิกส์
3. บรรณารักษ์หรือบุคลากรของห้องสมุดสามารถแทรกการติดต่อระหว่างผู้ใช้กับห้องสมุดได้ เพื่อช่วยเหลือผู้ใช้ได้โดยทางอิเล็กทรอนิกส์
4. ความสามารถในการจัดเก็บ รวบรวมและนำส่งสารสนเทศสู่ผู้ใช้โดยทางอิเล็กทรอนิกส์
     เป้าหมาย การประยุกต์ใช้ E-Library เพื่อการศึกษา
     ข้อดีหรื่อประโยชน์ของการพัฒนาห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ คือ การจัดเก็บข้อมูลที่เป็นระบบช่วยเพิ่มความรวดเร็ว ในการเข้าถึงข้อมูลหรือค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้ในเวลาที่ต้องการเป็นการแพร่กระจายความรู้ให้ผู้ใช้ได้รับความสะดวกยิ่งขึ้นโดยไม่มีข้อจำกัดด้านเวลาและสถานที่เช่นเดียวกับการดำเนินงานขององค์กรในลักษณะ e-Office และ e-Commerce เป็นต้น
     ข้อเสียหรื่อข้อจำกัด
-ผู้ใช้จะต้องมีอุปกรณ์ เช่น คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เนต
-ผู้ใช้ต้องมีทักษะการใช้คอมพิวเตอร์

วิเคราะห์เหตุที่มี E-library เกิดขึ้น สอดคล้องกับสังสมปัจจุบันอย่างไร
     จะเห็นว่าปัจจุบันนี้โลกแคบไปมาก ความรู้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก สังคมก็เป็นสังคมฐานความรู้ คนที่มีความรู้ดี มีความรู้ทันสมัยก็จะได้เปรียบ จะทำอะไรก็ต้องทำด้วยการอาศัยหลักวิชา ฉะนั้นการหาความรู้อยู่เสมอจึงเป็นเรื่องจำเป็น การรู้วิธีหาความรู้จึงเป็นเรื่องที่ต้องสอนให้กับนักเรียนทุกคน การสอนวิธีหาความรู้จึงเป็นเรื่องสำคัญกว่าการสอนความรู้สำหรับโลกอนาคต เพราะเนื้อหาสาระความรู้จะเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นใหม่ตลอดเวลา ฉะนั้นในการสอนจะต้องสอนให้รู้วิธีหาความรู้ สอนให้รักการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ ฉะนั้นเครื่องมือในการหาความรู้ที่จำเป็นสำหรับเด็กก็ ได้แก่ ความรู้และทักษะในการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อหาความรู้ นอกจากนั้นเวลาไปไหนก็มักจะต้องพบกับเทคโนโลยี ผู้ใหญ่หลายคนไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะสังคมปัจจุบันเป็นสังคมกดปุ่มมากข้น คนใช้เทคโนโลยีไม่เป็นก็รู้สึกว่าจะดำรงชีวิตอยู่ในสังคมลำบาก เริ่มตั้งแต่การใช้โทรศัพท์จะต้องรู้ว่าสามารถใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง บางคนซื้อโทรศัพท์มาอย่างดีแต่ใช้ได้แค่โทรออกกับรับเท่านั้น เปิดรับข้อความ ส่งข้อความ บันทึกข้อความ หรืออื่น ๆ ทำไม่เป็นเลย ยิ่งถ้าไปต่างประเทศจะเห็นชัดว่าจะต้องใช้เทคโนโลยีสำหรับชีวิตประจำวันเป็น ขึ้นรถเมล์ รถใต้ดิน เข้าสวนสนุก และอะไร ๆ ก็ต้องเสียบการ์ด หยอดเหรียญทั้งนั้น คนไม่รู้ก็อยู่ลำบาก ฉะนั้นในการจัดการศึกษาเพื่อสังคมโลกอนาคตจะต้องสอนให้รู้วิธีหาความรู้ และมีความรู้ความสามารถในการใช้คอมพิวเตอร์



ที่มา : http://www.tatc.ac.th/external_newsblog.php?links=7495
https://sites.google.com/site/elinrary/bthna
https://www.l3nr.org/posts/310238
http://www.donsila.ac.th/index.php?page=webboard-showtopic&topic_id=137
https://aquamarin97.wordpress.com/e-library

บทความที่ 1 วิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์

 วิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์ 

จุดกำเนิดของคอมพิวเตอร์
     ต้นกำเนิดของคอมพิวเตอร์อาจกล่าวได้ว่ามาจากแนวความคิดของระบบตัวเลข ซึ่งได้พัฒนาเป็นวิธีการคำนวณต่าง ๆ รวมทั้งอุปกรณ์ที่ช่วยในการคำนวณอย่างง่าย ๆ
คือ" กระดานคำนวณ" และ "ลูกคิด" ในศตวรรษที่ 17 เครื่องคำนวณแบบใช้เฟื่องเครื่องแรกได้กำเนิดขึ้นจากนักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศษคือ Blaise Pascal
โดยเครื่องของเขาสามารถคำนวณการบวกการลบได้อย่างเที่ยงตรง และในศตวรรษเดียวกันนักคณิตศาสตร์ชาวเยอร์มัน คือ Gottried Wilhelm von Leibniz
ได้สร้างเครื่องคิดเลขเครื่องแรกที่สามารถคูณและหารได้ด้วย
     ในต้นศตวรรษที่ 19 ชาวฝรั่งเศษชื่อ Joseph Marie Jacquard ได้พัฒนาเครื่องทอผ้าที่สามารถตั้งโปแกรมได้ โดยเครื่องทอผ้านี้ใช้บัตรขนาดใหญ่
ซึ่งได้เจาะรูไว้เพื่อควบคุมรูปแบบของลายที่จะปัก บัตรเจาะรู(punched card) ที่ Jacquard ใช้นี้ได้ถูกพัฒนาต่อๆมาโดยผู้อื่น เพื่อใช้เป็นอุปกรณ์ป้อนข้อมูล
และโปรแกรมเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคแรกๆ
      ต่อมาในศตวรรษเดียวกัน ชาวอังกฤษชื่อ Charles Babbage ได้ทำการสร้างเครื่องสำหรับแก้สมการโดยใช้พลังงานไอน้ำเรียกว่า difference engine
และถัดจากนั้นได้เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์สมัยใหม่ เมื่อเขาได้ทำการออกแบบ เครื่องจักรสำหรับทำการวิเคราะห์ (analytical engine)
โดยใช้พลังงานจากไอน้ำ ซึ่งได้มีการออกแบบให้ใช้บัตรเจาะรูของ Jacquard ในการป้อนข้อมูล ทำให้อุปกรณ์ชิ้นนี้มีหน่วยรับข้อมูล หน่วยประมวลผล
หน่วยแสดงผล และหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง ครบตามรูปแบบของคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ แต่โชคไม่ดีที่แม้ว่าแนวความคิดของเขจะถูกต้องแต่เทคโนโลยีในขณะนั้น
ไม่เอื้ออำนวยต่อการสร้างเครื่องที่สามารถทำงานได้จริง อย่างไรก็ดี Charles Babbage ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของคอมพิวเตอร์คนแรก
และผู้ร่วมงานของเขาคือ Augusta Ada Byron ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักเขียนโปรแกรมคนแรกของโลก

เครื่อง Difference Engine ของ Charles Babbage


     จากนั้นประมาณปี ค.ศ. 1886 Dr.Herman Hollerith ได้พัฒนาเครื่องจัดเรียงบัตรเจาะรูแบบ electromechanical ขึ้นซึ่งทำงานโดยใช้พลังงานไฟฟ้า
และสามารถทำการ จัดเรียง (sort) และ คัดเลือก (select) ข้อมูลได้ ต่อมาในปี ค.ศ. 1896 Hollerith ได้ทำการก่อตั้งบริษัทสำหรับเครื่องจักรในการจัดเรียงชื่อ
Tabulating Machine Company และในปี ค.ศ.1911 Hollerith ได้ขยายกิจการโดยเข้าหุ้นกับบริษัทอื่นอีก 2 บริษัทจัดตั้งเป็น
บริษัท Computing -Tabulating-Recording-Company ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก และในปี ค.ศ. 1924 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น
International Business Corporation หรือที่รู้จักกันต่อมาในชื่อของบริษัท IBM นั่นเอง

เครื่องจัดเรียงบัตรเจาะรูของ Dr. Her Hollerith


       ในปี ค.ศ.1939 Dr. Howard H. Aiken จาก Harvard University ได้ร่วมมือกับบริษัท IBM ออกแบบคอมพิวเตอร์โดยใช้ทฤษฎีของBabbage
และในปี ค.ศ.1944 Harvard mark I ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรก ซึ่งมีขนาดยาว 5 ฟุต ใช้พลังงานไฟฟ้าและใช้ relay แทนเฟือง
แต่ยังทำงานได้ช้าคือใช้เวลาประมาณ 3-5 วินาทีสำหรับการคูณ
     การพัฒนาที่สำคัญกับ Mark I ได้เกิดขึ้นปี 1946 ดดย Jonh Preper Eckert, Jr. และ Dr. Jonh W.Msuchly จาก University of Pennsylvnia
ได้ออกแบบสร้างเครื่อง ENIAC ( Electronic Numeric Integator and Calcuator ) ซึ่งทำงานได้เร็วอยู่ในหน่วยของหนึ่งส่วนล้านวินาทีในขณะที่ Mark I
ทำงานอยู่ในหน่วยของหนึ่งส่วนพันล้านเท่า โดยหัวใจของความสำเร็จนี้อยู่ที่การใช้หลอดสูญญากาศมาแทนที่ relay นั่นเอง
และถดจากนั้น Mauchly และ Eckert ก็ทำการสร้าง UNIVAC ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิส์เพื่อการค้าเครื่องแรกของโลก

เครื่อง ENIAC สูง 10 ฟุต กว้าง 10 ฟุต และยาว 10 ฟุต


     การพัฒนาที่สำคัญได้เกิดขึ้นมาอีก เมื่อ Jonh von Neumann ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของโครงการ ENIAC ได้เสนอแผนสำหรับคอมพิวเตอร์เครื่องแรก
ที่จะทำการเก็บโปรแกรมไว้ในหน่วยโปรแกรมไว้ในหน่วยความจำที่เหมือนกับที่เก็บข้อมูลซึ่งพัฒนาการนี้ทำให้สามารถเปลียนวงจรของคอมพิวเตอร์
ได้ดยอัตโนมัติแทนที่จะต้องทำการเปลี่ยนสวิทต์ด้วยมือเหมือนช่วงก่อน นอกจากนี้ Dr. Von neumann ยังได้นำระบบเลขฐานสองมาใช้ในคอมพิวเตอร์
ซึ่งหลักการต่งๆเหล่านี้ได้ทำให้เครื่อง IAS ที่สร้างโดย Dr. von Neumann เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เอนกประสงค์เครื่องแรกของโลกเป็นการเปิดศักราช
ของคอมพิวเตอร์อย่างแท้จริงและยังได้เป็นบิดาคอมพวเตอร์คนที่ 2
     ยุคของคอมพิวเตอร์
เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สามารถแบ่งออกได้โดยแบ่งส่วนประกอบของฮาร์ดแวร์ (Hardward ) เป็น 5 ยคด้วยกัน
ยุคที่ 1 (The First Generation)ปี ค.ศ. 1951 – 1958
คอมพิวเตอร์ในยุคแรกนี้ ใช้หลอดสูญญากาศในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ ทำให้ต้องการกำลังไฟฟ้าเลี้ยงวงจรที่มีปริมาณมากและทำให้มีความร้อนเกิดขึ้นมากจึงต้องติดตั้งเครื่องในห้องปรับอากาศ ความเร็วในการทำงานเป็นวินาที เครื่องคอมพิวเตอร์มีขนาดใหญ่ สื่อที่ใช้ในการเก็บข้อมูล คือ บัตรเจาะรู
ภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมเพื่อควบคุมการทำงาน คือ ภาษาเครื่องซึ่งเป็นภาษาที่ใช้รหัสเลขฐานสอง ทำให้เข้าใจยาก
สรุป
อุปกรณ์ : ใช้หลอดไฟสูญญากาศและวงจรไฟฟ้า
หน่วยวัดความเร็ว : วัดเป็นวินาที ( Second)
ตัวอย่างภาษาคอมพิวเตอร์ : ภาษาเครื่อง (Machine Language)
ตัวอย่างเครื่องคอมพิวเตอร์ : Univac I, IBM 650, IBM 700, IBM 704, IBM 705, IBM 709 และ MARK I

MARK I


ยุคที่ 2 (The Second Generation) ปี ค.ศ. 1959 – 1964
เครื่องคอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลง กินไฟน้อยลง ราคาถูกลง เพราะมีการประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์ขึ้นมาใช้แทนหลอดสูญญากาศ ทำให้ทำงานได้เร็วขึ้น ความเร็วในการทำงานเท่ากับ 1/103 วินาที (มิลลิเซคคั่น) และได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องมากกว่าใช้หลอดสูญญากาศ ทรานซิสเตอร์มีขนาดเล็กกว่าหลอดสูญญากาศ 200 เท่า และได้มีการสร้างวงแหวนแม่เหล็ก (Magnetic core) มาใช้แทนดรัมแม่เหล็ก (Magnetic drum) เป็นหน่วยความจำภายในซึ่งใช้ในการเก็บข้อมูลและชุดคำสั่ง
ภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้เขียนโปรแกรมในยุคที่ 2 นี้ คือ ภาษาแอสแซมบลี้ (Assembly) ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้สัญลักษณ์แทนคำสั่งต่าง ๆ ทำให้เขียนโปรแกรมได้ง่ายกว่าภาษาเครื่องเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคนี้ เช่น IBM 1620,IBM 401, Honeywell
สรุป
อุปกรณ์ : ใช้ทรานซิสเตอร์(Transistor) แทนหลอดไฟสูญญากาศ
หน่วยวัดความเร็ว : วัดเป็นมิลลิวินาที ( Millisecond)
ตัวอย่างภาษาคอมพิวเตอร์ : ภาษาแอสแซมบลี (Assembly) , ภาษาฟอร์แทรน (FORTRAN)
ตัวอย่างเครื่องคอมพิวเตอร์ : IBM 1620, IBM 1401, CDC 6600, NCR 315 , Honey Well


 
Honey Well


ยุคที่ 3 (The Third Generation) ปี ค.ศ. 1965 – 1970
    เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ถูกพัฒนามาใช้ในยุคนี้เป็นวงจรรวม หรือ เรียกว่าไอซี (IC : Integrated Circuit) ซึ่งเป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกบรรจุลงในแผ่นซิลิคอน (silicon) บาง ๆ ที่ เรียกว่า ซิป (Chip) ในซิปแต่ละตัวจะประกอบด้วยวงจรอิเล็กทรอนิกส์หลายพันตัว จึงทำให้คอมพิวเตอร์มีขนาดเล็ลงกว่าเดิมแต่ความเร็วในการทำงานสูงขึ้น ความเร็วในการทำงานเป็น 1/106 วินาที่ (ไมโครเซคคั่น) กินไฟน้อยลง ความร้อนลดลงปละประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้น
แต่ก่อนที่คอมพิวเตอร์จะเป็นวงจรรวม คอมพิวเตอร์จะถูกออกแบบเพื่อใช้กับงานแต่ละอย่าง เช่น ใช้ในงานคำนวณหรือใช้กับงานธุรกิจ เมื่อคอมพิวเตอร์ถูกพัฒนามาใช้วงจรรวมก็สามารถใช้กับงานที่ซับซ้อนได้มากขึ้น
IBM 360 เป็นหนึ่งในคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวมที่สามารถทำงานได้ทั้งการประมวลผลแฟ้มข้อมูล และวิเคราะห์ค่าทางคณิตศาสตร์ ต่อมาบริษัท DEC (Digital Equiptment Corporation) ได้หันมามุ่งผลิตคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันกับ IBM มินิคอมพิวเตอร์ (Minicomputer) จึงถูกพัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรก ในช่วงยุคที่ 2 และนิยมใช้กันแพร่หลาย DEC ได้แนะนำมินิคอมพิวเตอร์เครื่องแรก และ PDP1 เป็นหนึ่งในมินิคอมพิวเตอร์ยุคแรกที่นิยมใช้กันแพร่หลายโดยเฉพาะในกลุ่มของนักวิทยาศาสตร์ นักวิศวกร และนักวิจัยตามมหาวิทยาลัย เทคโนโลยีทางด้านซอฟต์แวร์ก็เกิดขึ้น โปรแกรมมาตรฐานได้ถูกเขียนขึ้นเพื่อใช้งานกับคอมพิวเตอร์ที่เป็นวงจรรวม และใช้เครื่องมาหลังจากที่ได้มีการปรับปรุงทางด้านฮาร์ดแวร์
สรุป
อุปกรณ์ : ใช้วงจรแบบไอซี (IC) ซึ่งเป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกบรรจุลงในแผ่น ซิลิกอน ( Silicon)ที่เรียกว่า Chip
หน่วยวัดความเร็ว : วัดเป็นไมโครวินาที ( Microsecond)
ตัวอย่างภาษาคอมพิวเตอร์ : COBOL , PL/1 , RPG , BASIC
ตัวอย่างเครื่องคอมพิวเตอร์ : IBM 360 , CDC 3300 , UNIVAC 9400 BURROUGH 7500 , PDP1


 
UNIVAC


ยุคที่ 4 (The fourth Generation) ปี ค.ศ. 1971
    ในยุคนี้ได้มีการพัฒนาเอาวงจรรวมหลาย ๆ วงจรมารวมเป็นวงจรขนาดใหญ่ เรียกว่า LSI (Large Scalue Integrated) ลงในซิปแต่ละอัน บริษัทอินเทล (Intel) ได้สร้างไมโครโปรเซสเซอร์ (Microprocessor) ซึ่งเป็นซิป 1 อัน ที่ประกอบด้วยวงจรทั้งหมดที่ต้องใช้ในการประมวลผลโปรแกรม
ไมโครโปรเซสเซอร์ซิปที่ใช้ในเครื่องพีซี (PC : Personal Computer) มีขนาดกระทัดรัดประกอบด้วยส่วนประกอบของ ซีพียู (CPU) 2 ส่วน คือ หน่วยควบคุม (Control Unit) และ หน่วยคำนวณและตรรก (Arithmetic / Logic Unit)
ปัจจุบันได้มีการสร้างวงจรอิเล็กทรอนิกส์หลายหมื่นวงจรรวมอยู่ในซิปเดียว เป็นวงจร LSI (Large Scalue Integrated) และ VLSI (Very Large Scale Integrated) ในยุคนี้ได้มีการสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ได้แก่ ไมโครคอมพิวเตอร์ มินิคอมพิวเตอร์ เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ และซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ ได้รับความนิยมมากเพราะมีขนาดเล็ก กระทัดรัดและราคาถูกแต่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ทำงานเร็วขึ้น ความเร็วในการทางานเป็น 1/109 วินาที (นาโนเซคคั่น) และ 1/1012 วินาที (พิโคเซคคั่น) นอกจากนี้วงจร LSI ยังได้ถูกนำไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่เป็นการลด ค่าใช้จ่ายพร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
สรุป
อุปกรณ์ : ใช้ระบบ LSI ( Large Scale Integrated ) ซึ่งเป็นวงจรที่ประกอบด้วยทรานซิสเตอร์หลายพันตัวและต่อมาได้รับการพัฒนาปรับปรุงเป็น VLSI ซึ่งก็คือ Microprocessor หรือ CPU
หน่วยวัดความเร็ว : วัดเป็นนาโนวินาที ( Nanosecond) และพิโควินาที (Picosecond)
ตัวอย่างภาษาคอมพิวเตอร์ : ภาษาปาสคาล (PASCAL) , ภาษาซี (C)
ตัวอย่างเครื่องคอมพิวเตอร์ : IBM 370
     เนื่องจากการเพิ่มความจุของหน่วยบันทึกข้อมูลสำรองนี่เอง ซอฟต์แวร์ชนิดใหม่ได้พัฒนาขึ้น เพื่อให้สามารถเก็บรวมรวบและบันทึกแก้ไขข้อมูลจำนวณมหาศาลที่ถูกจัดเก็บไว้ นั่นคือ ซอฟร์แวร์ ฐานข้อมูล (Data base ) นอกจากนี้ ยังมีการถือกำเนิดขึ้นของเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในปี 1975 คือเครื่อง Altair ซึ่งใช้ชิ intel 8080 และถัดจากนั้นก็เป็นยุคของเครื่อง และ ตามลำดับ ในส่วนของซอฟต์แวร์ก็ได้มีการพัฒนาให้เป็นมิตรกับผู้ใช้ มีขนาดใหญ่และซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ รวมทั้งมีการนำเทคนิคต่าง ๆ เช่น OOP (Object-Oriented Programming) และ Visual Programming มาเป็นเครื่องมือช่วยในการพัฒนา
     การพัฒนาที่สำคัญอื่นๆในยุคที่ 4 คือการพัฒนาเครื่อข่ายคอมพิวเตอร์ความเร็วสูง ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนกันได้ โดยการใช้งานภายในองค์กรนั้น ระบบเครื่อข่ายท้องถิ่น (Local Araa Networks) ซึ่งนิยมเรียกว่า แลน (LANs) จะมีบทบาทในการเชื่องโยงเครื่องนับร้อยเข้าด้วยกันในพื้นที่ห่างไกลกันนัก ส่วนระบบเครื่องข่ายระยะไกล ( Wide Area Networks ) หรือ แวน (WANs) จะทำหน้าที่เชื่อมโยงเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ห่างไกลคนละซีกโลกเข้าด้วยกัน

IBM 370


ยุคที่ 5 (The Fifth Generation) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 - 1989
     ในยุคที่ 4 และยุคที่ 5 ก็จัดเป็นยุคของคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันแต่ในยุคที่ 5 นี้มีการใช้คอมพิวเตอร์ เพื่อช่วยการจัดการและนำมาใช้สนับสนุนการตัดสินใจของผู้บริหารจึงเกิดสาขา MIS (Management Information System) ขึ้น
     ในปี ค.ศ 1980 ญี่ปุ่นได้พยายามที่จะสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ให้สามารถคิดและ ตัดสินใจได้เอง โดยสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ให้มี “สติปัญญา” เพื่อใช้ในการตัดสินใจแทนมนุษย์จึงเกิดสาขาใหม่ขึ้นเรียกว่า สาขาปัญญาประดิษฐ์ (AI : Artificial Intelligence) สาขาปัญญาประดิษฐ์เป็นสาขาที่เน้นถึงความพยายามในการนำเอากระบวนการทางความคิดของมนุษย์มาใช้ในการ แก้ปัญหาด้วยระบบคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้มีการตื่นตัวในการจัดเก็บข้อมูลเป็นระบบฐานข้อมูล (Database) การนำคอมพิวเตอร์มาใช้กับงานทางด้านกราฟิก และมีการพัฒนาซอฟต์แวร์ (Software) เพื่อใช้กับงานเฉพาะอย่าง เช่น งานการเงิน งานงบประมาณ งานบัญชี งานสต๊อกสินค้า เป็นต้น
 
ยุคที่ 6 (Sixth Generation)  ปี ค.ศ. 1990- ปัจจุบัน
      ที่ผ่านมาทั้ง 5 ยุค พัฒนาการของคอมพิวเตอร์จะเป็นไปในทางการปรับปรุงการผลิต และการ เสริมสร้างความสามารถทางด้านการคำนวณของคอมพิวเตอร์
เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นการจำกัด ความสามารถทางด้านการป้อนข้อมูล ในปัจจุบัน ความต้องการทางด้านการป้อนข้อมูลอย่างอิสระ โดยใช้เสียงและภาพ ซึ่งถือเป็น
การป้อนข้อมูลโดยธรรมชาตินั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ ความต้องการคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ที่ไม่เป็นเพียงแต่เครื่องคำนวณ จึงสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความต้องการ
ประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในการแก้ปัญหาสังคม เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม เทคโนโลยี การติดต่อระหว่างประเทศและอื่น ๆ ในช่วงทศวรรษปี 1990 เช่น
1) การพัฒนาด้านการผลิตของอุตสาหกรรม การตลาด ธุรกิจ
2) การพัฒนาทางด้านการติดต่อสื่อสารระหว่างประเทศ
3) การช่วยเหลือทางด้านการประหยัดพลังงาน
4) การแก้ไขปัญหาของสังคม การศึกษา การแพทย์
ความสามารถที่คอมพิวเตอร์ยุคที่ 6 ควรจะมี อาจแบ่งได้ดังนี้
1) การพัฒนาปัญญาให้คอมพิวเตอร์ เพื่อที่จะสามารถนำไปใช้เป็นผู้ช่วยของมนุษย์ได้ สำหรับการพัฒนาด้านปัญญาของคอมพิวเตอร์หรือที่เรียกว่า AI (artificial intelligence) อาจกล่าวได้ว่าเป็นการพัฒนาด้านการป้อนข้อมูลด้วยเสียงและภาพ ความสามารถในการโต้ตอบด้วยภาษาพูด ความสามารถในการเก็บข้อมูลในด้านความรู้และการนำความรู้ไปใช้ การค้นหาความรู้จากข้อมูลมหาศาสล และอื่น ๆ
2) การลดความยากลำบากในการผลิตซอฟต์แวร์ เป็นการพัฒนาทางด้านการเขียนโปรแกรม พัฒนา ภาษาของโปรแกรมให้ง่ายขึ้น วิธีการติดต่อกับผู้ใช้ และอื่น ๆ




ที่มา : http://www.shc.ac.th/shc_media_online/media_m4/information/infor1.htm
http://jsbg.joseph.ac.th/pm08/alesson/computer%20p2/__2.html
http://www.oknation.net/blog/bangkoksuvarnabhumi-college/2014/01/16/entry-2
http://kaninkratum.blogspot.com/
เอกสารประกอบการเรียน

วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2558

แบบฝึกหัดบทที่ 4 วิชา การจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน 0026008


แบบฝึกหัด
บทที่4 (กิจกรรม4)                                                                              กลุ่มเรียนที่ 3
รายวิชา กาารจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน                  รหัสวิชา 0026008
ชื่อ-สกุล  นางสาวสมฤทัย    ทองบ่อ                        รหัสนิสิต56011110070 สาขา ARC


จงตอบคำถามต่อไปนี้


1.ให้นิสิตยกตัวอย่างอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีสารสานเทศตามหัวข้อต่อไปนี้
อย่างน้อยหัวข้อละ ชนิด แล้วแลกเปลี่ยนกันตรวจกับเพื่อน
     1) การบันทึกและจัดเก็บข้อมูล
                  Floppy Disk , DVD , Blu-ray Disc
     2) การแสดงผล
                  จอมอนิเตอร์ เครื่องฉายโปรเจ็คเตอร์ เครื่องพิมพ์
     3) การประมวลผล
                 CPU , RAM , Software
     4) การสื่อสารและเครือข่าย
                อินเตอร์เน็ต โทรทัศน์ วิทยุ


2.ให้นิสิตนำตัวเลขในช่องขวา มาเติมหน้าข้อความในช่องซ้ายที่มีความสัมพันธ์กัน
      ซอฟต์แวร์ประยุกต์
  
   3  Information Technology
     
1  คอมพิวเตอร์ในยุคประมวลผลข้อมูล
    
 6  เทคโนโลีสารสนเทศ ประกอบด้วย
     
10  ช่วยเพิ่มผลผลิต เพิ่มต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
     
7  ซอฟต์แวร์ระบบ
   
  9  การนำเสนอบทเรียนในรูปมัลติมีเดียที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตน  เองได้ตามระดับความสามารถ
    
 5  EDI
     
4  การสื่อสารโทรคมนาคม
     
2  บริการชำระภาษีออนไลน์



ที่มา: เอกสารประกอบการเรียน