วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558

บทความที่ 2 ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์

ความหมายห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์

E-Library หรือ ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์

     ความหมาย E-library มาจากคำว่า Electronic Library หรือห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง แหล่งความรู้ที่บันทึกข้อมูลไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่ายและให้บริการสารสนเทศทางอิเล็กทรอนิกส์หรือผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
     ประวัติความเป็นมา ห้องสมุดเป็นแหล่งสำคัญของชาติในการถ่ายทอดความรู้ ตามประกาศองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งชาติ ใน “กฎบัตรว่าด้วยหนังสือ” ตั้งแต่ปี 1972 มาจนถึงปัจจุบันประเทศต่าง ๆ ยังคงยึดมั่นในหลักการดังกล่าว ห้องสมุดจึงได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง เมื่อเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ กอปรกับสภาพสังคมที่ให้ความสำคัญกับฐานความรู้ห้องสมุดจึงมีขอบข่ายให้บริการกว้างขวางมากขึ้น และถูกเรียกขานด้วยชื่อที่แตกต่างกันออกไป เช่น ศูนย์ข้อมูลการศึกษา  ศูนย์เอกสาร และศูนย์วิทยบริการ ห้องสมุดเป็นสถาบันที่ทำหน้าที่จัดเก็บรวบรวมสารสนเทศ และอารยธรรมของมนุษยศาสตร์ในทุกยุคทุกสมัย ระบบและวิธีการจัดเก็บหนังสือและสารสนเทศในห้องสมุดยุคเดิมที่จัดจำแนกประเภทหนังสือและให้บริการต่าง ๆ ในระบบมือทั้งหมดนั้น ไม่สามารถตอบสนองความต้องการการใช้สารสนเทศของผู้บริการในโลกยุคข้อมูลข่าวสารได้ครบถ้วน ห้องสมุดจึงจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบระบบและวิธีการจัดเก็บเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการ โดยการนเทคโนโลยีสารสนเทศ  อันได้แก่ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการจัดเก็บค้นหาสารสนเทศ และเทคโนโลยีโทรคมนาคมที่ใช้ในการเชื่อมโยงผู้ใช้กับการฐานข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ ในระบบเครือข่ายที่เชื่อมโยงถึงกันทั้งภายในห้องสมุดเอง ภายในสถาบัน ระหว่างสถาบัน และระหว่างประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
     วัตถุประสงค์ เพื่อนำมาใช้แก้ปัญหาในเรื่องการจัดเก็บทรัพยากรห้องสมุดที่มีเพิ่มมากขึ้น (Reynolds, 1985 : 208) โดยการจัดเก็บสารสนเทศในห้องสมุดให้เป็นระบบฐานข้อมูลอัตโนมัติที่จัดเก็บสื่อต่าง ๆ ได้ทุกรูปแบบสามารถเชื่อมโยงกับเครือข่ายในระดับต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
     ลักษณะของห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์
1. การจัดการทรัพยากรสารสนเทศด้วยคอมพิวเตอร์
2. ความสามารถในการเข้าถึงสารสนเทศโดยทางอิเล็กทรอนิกส์
3. บรรณารักษ์หรือบุคลากรของห้องสมุดสามารถแทรกการติดต่อระหว่างผู้ใช้กับห้องสมุดได้ เพื่อช่วยเหลือผู้ใช้ได้โดยทางอิเล็กทรอนิกส์
4. ความสามารถในการจัดเก็บ รวบรวมและนำส่งสารสนเทศสู่ผู้ใช้โดยทางอิเล็กทรอนิกส์
     เป้าหมาย การประยุกต์ใช้ E-Library เพื่อการศึกษา
     ข้อดีหรื่อประโยชน์ของการพัฒนาห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ คือ การจัดเก็บข้อมูลที่เป็นระบบช่วยเพิ่มความรวดเร็ว ในการเข้าถึงข้อมูลหรือค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้ในเวลาที่ต้องการเป็นการแพร่กระจายความรู้ให้ผู้ใช้ได้รับความสะดวกยิ่งขึ้นโดยไม่มีข้อจำกัดด้านเวลาและสถานที่เช่นเดียวกับการดำเนินงานขององค์กรในลักษณะ e-Office และ e-Commerce เป็นต้น
     ข้อเสียหรื่อข้อจำกัด
-ผู้ใช้จะต้องมีอุปกรณ์ เช่น คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เนต
-ผู้ใช้ต้องมีทักษะการใช้คอมพิวเตอร์

วิเคราะห์เหตุที่มี E-library เกิดขึ้น สอดคล้องกับสังสมปัจจุบันอย่างไร
     จะเห็นว่าปัจจุบันนี้โลกแคบไปมาก ความรู้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก สังคมก็เป็นสังคมฐานความรู้ คนที่มีความรู้ดี มีความรู้ทันสมัยก็จะได้เปรียบ จะทำอะไรก็ต้องทำด้วยการอาศัยหลักวิชา ฉะนั้นการหาความรู้อยู่เสมอจึงเป็นเรื่องจำเป็น การรู้วิธีหาความรู้จึงเป็นเรื่องที่ต้องสอนให้กับนักเรียนทุกคน การสอนวิธีหาความรู้จึงเป็นเรื่องสำคัญกว่าการสอนความรู้สำหรับโลกอนาคต เพราะเนื้อหาสาระความรู้จะเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นใหม่ตลอดเวลา ฉะนั้นในการสอนจะต้องสอนให้รู้วิธีหาความรู้ สอนให้รักการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ ฉะนั้นเครื่องมือในการหาความรู้ที่จำเป็นสำหรับเด็กก็ ได้แก่ ความรู้และทักษะในการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อหาความรู้ นอกจากนั้นเวลาไปไหนก็มักจะต้องพบกับเทคโนโลยี ผู้ใหญ่หลายคนไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะสังคมปัจจุบันเป็นสังคมกดปุ่มมากข้น คนใช้เทคโนโลยีไม่เป็นก็รู้สึกว่าจะดำรงชีวิตอยู่ในสังคมลำบาก เริ่มตั้งแต่การใช้โทรศัพท์จะต้องรู้ว่าสามารถใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง บางคนซื้อโทรศัพท์มาอย่างดีแต่ใช้ได้แค่โทรออกกับรับเท่านั้น เปิดรับข้อความ ส่งข้อความ บันทึกข้อความ หรืออื่น ๆ ทำไม่เป็นเลย ยิ่งถ้าไปต่างประเทศจะเห็นชัดว่าจะต้องใช้เทคโนโลยีสำหรับชีวิตประจำวันเป็น ขึ้นรถเมล์ รถใต้ดิน เข้าสวนสนุก และอะไร ๆ ก็ต้องเสียบการ์ด หยอดเหรียญทั้งนั้น คนไม่รู้ก็อยู่ลำบาก ฉะนั้นในการจัดการศึกษาเพื่อสังคมโลกอนาคตจะต้องสอนให้รู้วิธีหาความรู้ และมีความรู้ความสามารถในการใช้คอมพิวเตอร์



ที่มา : http://www.tatc.ac.th/external_newsblog.php?links=7495
https://sites.google.com/site/elinrary/bthna
https://www.l3nr.org/posts/310238
http://www.donsila.ac.th/index.php?page=webboard-showtopic&topic_id=137
https://aquamarin97.wordpress.com/e-library

บทความที่ 1 วิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์

 วิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์ 

จุดกำเนิดของคอมพิวเตอร์
     ต้นกำเนิดของคอมพิวเตอร์อาจกล่าวได้ว่ามาจากแนวความคิดของระบบตัวเลข ซึ่งได้พัฒนาเป็นวิธีการคำนวณต่าง ๆ รวมทั้งอุปกรณ์ที่ช่วยในการคำนวณอย่างง่าย ๆ
คือ" กระดานคำนวณ" และ "ลูกคิด" ในศตวรรษที่ 17 เครื่องคำนวณแบบใช้เฟื่องเครื่องแรกได้กำเนิดขึ้นจากนักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศษคือ Blaise Pascal
โดยเครื่องของเขาสามารถคำนวณการบวกการลบได้อย่างเที่ยงตรง และในศตวรรษเดียวกันนักคณิตศาสตร์ชาวเยอร์มัน คือ Gottried Wilhelm von Leibniz
ได้สร้างเครื่องคิดเลขเครื่องแรกที่สามารถคูณและหารได้ด้วย
     ในต้นศตวรรษที่ 19 ชาวฝรั่งเศษชื่อ Joseph Marie Jacquard ได้พัฒนาเครื่องทอผ้าที่สามารถตั้งโปแกรมได้ โดยเครื่องทอผ้านี้ใช้บัตรขนาดใหญ่
ซึ่งได้เจาะรูไว้เพื่อควบคุมรูปแบบของลายที่จะปัก บัตรเจาะรู(punched card) ที่ Jacquard ใช้นี้ได้ถูกพัฒนาต่อๆมาโดยผู้อื่น เพื่อใช้เป็นอุปกรณ์ป้อนข้อมูล
และโปรแกรมเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคแรกๆ
      ต่อมาในศตวรรษเดียวกัน ชาวอังกฤษชื่อ Charles Babbage ได้ทำการสร้างเครื่องสำหรับแก้สมการโดยใช้พลังงานไอน้ำเรียกว่า difference engine
และถัดจากนั้นได้เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์สมัยใหม่ เมื่อเขาได้ทำการออกแบบ เครื่องจักรสำหรับทำการวิเคราะห์ (analytical engine)
โดยใช้พลังงานจากไอน้ำ ซึ่งได้มีการออกแบบให้ใช้บัตรเจาะรูของ Jacquard ในการป้อนข้อมูล ทำให้อุปกรณ์ชิ้นนี้มีหน่วยรับข้อมูล หน่วยประมวลผล
หน่วยแสดงผล และหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง ครบตามรูปแบบของคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ แต่โชคไม่ดีที่แม้ว่าแนวความคิดของเขจะถูกต้องแต่เทคโนโลยีในขณะนั้น
ไม่เอื้ออำนวยต่อการสร้างเครื่องที่สามารถทำงานได้จริง อย่างไรก็ดี Charles Babbage ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของคอมพิวเตอร์คนแรก
และผู้ร่วมงานของเขาคือ Augusta Ada Byron ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักเขียนโปรแกรมคนแรกของโลก

เครื่อง Difference Engine ของ Charles Babbage


     จากนั้นประมาณปี ค.ศ. 1886 Dr.Herman Hollerith ได้พัฒนาเครื่องจัดเรียงบัตรเจาะรูแบบ electromechanical ขึ้นซึ่งทำงานโดยใช้พลังงานไฟฟ้า
และสามารถทำการ จัดเรียง (sort) และ คัดเลือก (select) ข้อมูลได้ ต่อมาในปี ค.ศ. 1896 Hollerith ได้ทำการก่อตั้งบริษัทสำหรับเครื่องจักรในการจัดเรียงชื่อ
Tabulating Machine Company และในปี ค.ศ.1911 Hollerith ได้ขยายกิจการโดยเข้าหุ้นกับบริษัทอื่นอีก 2 บริษัทจัดตั้งเป็น
บริษัท Computing -Tabulating-Recording-Company ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก และในปี ค.ศ. 1924 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น
International Business Corporation หรือที่รู้จักกันต่อมาในชื่อของบริษัท IBM นั่นเอง

เครื่องจัดเรียงบัตรเจาะรูของ Dr. Her Hollerith


       ในปี ค.ศ.1939 Dr. Howard H. Aiken จาก Harvard University ได้ร่วมมือกับบริษัท IBM ออกแบบคอมพิวเตอร์โดยใช้ทฤษฎีของBabbage
และในปี ค.ศ.1944 Harvard mark I ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรก ซึ่งมีขนาดยาว 5 ฟุต ใช้พลังงานไฟฟ้าและใช้ relay แทนเฟือง
แต่ยังทำงานได้ช้าคือใช้เวลาประมาณ 3-5 วินาทีสำหรับการคูณ
     การพัฒนาที่สำคัญกับ Mark I ได้เกิดขึ้นปี 1946 ดดย Jonh Preper Eckert, Jr. และ Dr. Jonh W.Msuchly จาก University of Pennsylvnia
ได้ออกแบบสร้างเครื่อง ENIAC ( Electronic Numeric Integator and Calcuator ) ซึ่งทำงานได้เร็วอยู่ในหน่วยของหนึ่งส่วนล้านวินาทีในขณะที่ Mark I
ทำงานอยู่ในหน่วยของหนึ่งส่วนพันล้านเท่า โดยหัวใจของความสำเร็จนี้อยู่ที่การใช้หลอดสูญญากาศมาแทนที่ relay นั่นเอง
และถดจากนั้น Mauchly และ Eckert ก็ทำการสร้าง UNIVAC ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิส์เพื่อการค้าเครื่องแรกของโลก

เครื่อง ENIAC สูง 10 ฟุต กว้าง 10 ฟุต และยาว 10 ฟุต


     การพัฒนาที่สำคัญได้เกิดขึ้นมาอีก เมื่อ Jonh von Neumann ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของโครงการ ENIAC ได้เสนอแผนสำหรับคอมพิวเตอร์เครื่องแรก
ที่จะทำการเก็บโปรแกรมไว้ในหน่วยโปรแกรมไว้ในหน่วยความจำที่เหมือนกับที่เก็บข้อมูลซึ่งพัฒนาการนี้ทำให้สามารถเปลียนวงจรของคอมพิวเตอร์
ได้ดยอัตโนมัติแทนที่จะต้องทำการเปลี่ยนสวิทต์ด้วยมือเหมือนช่วงก่อน นอกจากนี้ Dr. Von neumann ยังได้นำระบบเลขฐานสองมาใช้ในคอมพิวเตอร์
ซึ่งหลักการต่งๆเหล่านี้ได้ทำให้เครื่อง IAS ที่สร้างโดย Dr. von Neumann เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เอนกประสงค์เครื่องแรกของโลกเป็นการเปิดศักราช
ของคอมพิวเตอร์อย่างแท้จริงและยังได้เป็นบิดาคอมพวเตอร์คนที่ 2
     ยุคของคอมพิวเตอร์
เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สามารถแบ่งออกได้โดยแบ่งส่วนประกอบของฮาร์ดแวร์ (Hardward ) เป็น 5 ยคด้วยกัน
ยุคที่ 1 (The First Generation)ปี ค.ศ. 1951 – 1958
คอมพิวเตอร์ในยุคแรกนี้ ใช้หลอดสูญญากาศในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ ทำให้ต้องการกำลังไฟฟ้าเลี้ยงวงจรที่มีปริมาณมากและทำให้มีความร้อนเกิดขึ้นมากจึงต้องติดตั้งเครื่องในห้องปรับอากาศ ความเร็วในการทำงานเป็นวินาที เครื่องคอมพิวเตอร์มีขนาดใหญ่ สื่อที่ใช้ในการเก็บข้อมูล คือ บัตรเจาะรู
ภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมเพื่อควบคุมการทำงาน คือ ภาษาเครื่องซึ่งเป็นภาษาที่ใช้รหัสเลขฐานสอง ทำให้เข้าใจยาก
สรุป
อุปกรณ์ : ใช้หลอดไฟสูญญากาศและวงจรไฟฟ้า
หน่วยวัดความเร็ว : วัดเป็นวินาที ( Second)
ตัวอย่างภาษาคอมพิวเตอร์ : ภาษาเครื่อง (Machine Language)
ตัวอย่างเครื่องคอมพิวเตอร์ : Univac I, IBM 650, IBM 700, IBM 704, IBM 705, IBM 709 และ MARK I

MARK I


ยุคที่ 2 (The Second Generation) ปี ค.ศ. 1959 – 1964
เครื่องคอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลง กินไฟน้อยลง ราคาถูกลง เพราะมีการประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์ขึ้นมาใช้แทนหลอดสูญญากาศ ทำให้ทำงานได้เร็วขึ้น ความเร็วในการทำงานเท่ากับ 1/103 วินาที (มิลลิเซคคั่น) และได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องมากกว่าใช้หลอดสูญญากาศ ทรานซิสเตอร์มีขนาดเล็กกว่าหลอดสูญญากาศ 200 เท่า และได้มีการสร้างวงแหวนแม่เหล็ก (Magnetic core) มาใช้แทนดรัมแม่เหล็ก (Magnetic drum) เป็นหน่วยความจำภายในซึ่งใช้ในการเก็บข้อมูลและชุดคำสั่ง
ภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้เขียนโปรแกรมในยุคที่ 2 นี้ คือ ภาษาแอสแซมบลี้ (Assembly) ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้สัญลักษณ์แทนคำสั่งต่าง ๆ ทำให้เขียนโปรแกรมได้ง่ายกว่าภาษาเครื่องเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคนี้ เช่น IBM 1620,IBM 401, Honeywell
สรุป
อุปกรณ์ : ใช้ทรานซิสเตอร์(Transistor) แทนหลอดไฟสูญญากาศ
หน่วยวัดความเร็ว : วัดเป็นมิลลิวินาที ( Millisecond)
ตัวอย่างภาษาคอมพิวเตอร์ : ภาษาแอสแซมบลี (Assembly) , ภาษาฟอร์แทรน (FORTRAN)
ตัวอย่างเครื่องคอมพิวเตอร์ : IBM 1620, IBM 1401, CDC 6600, NCR 315 , Honey Well


 
Honey Well


ยุคที่ 3 (The Third Generation) ปี ค.ศ. 1965 – 1970
    เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ถูกพัฒนามาใช้ในยุคนี้เป็นวงจรรวม หรือ เรียกว่าไอซี (IC : Integrated Circuit) ซึ่งเป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกบรรจุลงในแผ่นซิลิคอน (silicon) บาง ๆ ที่ เรียกว่า ซิป (Chip) ในซิปแต่ละตัวจะประกอบด้วยวงจรอิเล็กทรอนิกส์หลายพันตัว จึงทำให้คอมพิวเตอร์มีขนาดเล็ลงกว่าเดิมแต่ความเร็วในการทำงานสูงขึ้น ความเร็วในการทำงานเป็น 1/106 วินาที่ (ไมโครเซคคั่น) กินไฟน้อยลง ความร้อนลดลงปละประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้น
แต่ก่อนที่คอมพิวเตอร์จะเป็นวงจรรวม คอมพิวเตอร์จะถูกออกแบบเพื่อใช้กับงานแต่ละอย่าง เช่น ใช้ในงานคำนวณหรือใช้กับงานธุรกิจ เมื่อคอมพิวเตอร์ถูกพัฒนามาใช้วงจรรวมก็สามารถใช้กับงานที่ซับซ้อนได้มากขึ้น
IBM 360 เป็นหนึ่งในคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวมที่สามารถทำงานได้ทั้งการประมวลผลแฟ้มข้อมูล และวิเคราะห์ค่าทางคณิตศาสตร์ ต่อมาบริษัท DEC (Digital Equiptment Corporation) ได้หันมามุ่งผลิตคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันกับ IBM มินิคอมพิวเตอร์ (Minicomputer) จึงถูกพัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรก ในช่วงยุคที่ 2 และนิยมใช้กันแพร่หลาย DEC ได้แนะนำมินิคอมพิวเตอร์เครื่องแรก และ PDP1 เป็นหนึ่งในมินิคอมพิวเตอร์ยุคแรกที่นิยมใช้กันแพร่หลายโดยเฉพาะในกลุ่มของนักวิทยาศาสตร์ นักวิศวกร และนักวิจัยตามมหาวิทยาลัย เทคโนโลยีทางด้านซอฟต์แวร์ก็เกิดขึ้น โปรแกรมมาตรฐานได้ถูกเขียนขึ้นเพื่อใช้งานกับคอมพิวเตอร์ที่เป็นวงจรรวม และใช้เครื่องมาหลังจากที่ได้มีการปรับปรุงทางด้านฮาร์ดแวร์
สรุป
อุปกรณ์ : ใช้วงจรแบบไอซี (IC) ซึ่งเป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกบรรจุลงในแผ่น ซิลิกอน ( Silicon)ที่เรียกว่า Chip
หน่วยวัดความเร็ว : วัดเป็นไมโครวินาที ( Microsecond)
ตัวอย่างภาษาคอมพิวเตอร์ : COBOL , PL/1 , RPG , BASIC
ตัวอย่างเครื่องคอมพิวเตอร์ : IBM 360 , CDC 3300 , UNIVAC 9400 BURROUGH 7500 , PDP1


 
UNIVAC


ยุคที่ 4 (The fourth Generation) ปี ค.ศ. 1971
    ในยุคนี้ได้มีการพัฒนาเอาวงจรรวมหลาย ๆ วงจรมารวมเป็นวงจรขนาดใหญ่ เรียกว่า LSI (Large Scalue Integrated) ลงในซิปแต่ละอัน บริษัทอินเทล (Intel) ได้สร้างไมโครโปรเซสเซอร์ (Microprocessor) ซึ่งเป็นซิป 1 อัน ที่ประกอบด้วยวงจรทั้งหมดที่ต้องใช้ในการประมวลผลโปรแกรม
ไมโครโปรเซสเซอร์ซิปที่ใช้ในเครื่องพีซี (PC : Personal Computer) มีขนาดกระทัดรัดประกอบด้วยส่วนประกอบของ ซีพียู (CPU) 2 ส่วน คือ หน่วยควบคุม (Control Unit) และ หน่วยคำนวณและตรรก (Arithmetic / Logic Unit)
ปัจจุบันได้มีการสร้างวงจรอิเล็กทรอนิกส์หลายหมื่นวงจรรวมอยู่ในซิปเดียว เป็นวงจร LSI (Large Scalue Integrated) และ VLSI (Very Large Scale Integrated) ในยุคนี้ได้มีการสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ได้แก่ ไมโครคอมพิวเตอร์ มินิคอมพิวเตอร์ เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ และซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ ได้รับความนิยมมากเพราะมีขนาดเล็ก กระทัดรัดและราคาถูกแต่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ทำงานเร็วขึ้น ความเร็วในการทางานเป็น 1/109 วินาที (นาโนเซคคั่น) และ 1/1012 วินาที (พิโคเซคคั่น) นอกจากนี้วงจร LSI ยังได้ถูกนำไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่เป็นการลด ค่าใช้จ่ายพร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
สรุป
อุปกรณ์ : ใช้ระบบ LSI ( Large Scale Integrated ) ซึ่งเป็นวงจรที่ประกอบด้วยทรานซิสเตอร์หลายพันตัวและต่อมาได้รับการพัฒนาปรับปรุงเป็น VLSI ซึ่งก็คือ Microprocessor หรือ CPU
หน่วยวัดความเร็ว : วัดเป็นนาโนวินาที ( Nanosecond) และพิโควินาที (Picosecond)
ตัวอย่างภาษาคอมพิวเตอร์ : ภาษาปาสคาล (PASCAL) , ภาษาซี (C)
ตัวอย่างเครื่องคอมพิวเตอร์ : IBM 370
     เนื่องจากการเพิ่มความจุของหน่วยบันทึกข้อมูลสำรองนี่เอง ซอฟต์แวร์ชนิดใหม่ได้พัฒนาขึ้น เพื่อให้สามารถเก็บรวมรวบและบันทึกแก้ไขข้อมูลจำนวณมหาศาลที่ถูกจัดเก็บไว้ นั่นคือ ซอฟร์แวร์ ฐานข้อมูล (Data base ) นอกจากนี้ ยังมีการถือกำเนิดขึ้นของเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในปี 1975 คือเครื่อง Altair ซึ่งใช้ชิ intel 8080 และถัดจากนั้นก็เป็นยุคของเครื่อง และ ตามลำดับ ในส่วนของซอฟต์แวร์ก็ได้มีการพัฒนาให้เป็นมิตรกับผู้ใช้ มีขนาดใหญ่และซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ รวมทั้งมีการนำเทคนิคต่าง ๆ เช่น OOP (Object-Oriented Programming) และ Visual Programming มาเป็นเครื่องมือช่วยในการพัฒนา
     การพัฒนาที่สำคัญอื่นๆในยุคที่ 4 คือการพัฒนาเครื่อข่ายคอมพิวเตอร์ความเร็วสูง ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนกันได้ โดยการใช้งานภายในองค์กรนั้น ระบบเครื่อข่ายท้องถิ่น (Local Araa Networks) ซึ่งนิยมเรียกว่า แลน (LANs) จะมีบทบาทในการเชื่องโยงเครื่องนับร้อยเข้าด้วยกันในพื้นที่ห่างไกลกันนัก ส่วนระบบเครื่องข่ายระยะไกล ( Wide Area Networks ) หรือ แวน (WANs) จะทำหน้าที่เชื่อมโยงเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ห่างไกลคนละซีกโลกเข้าด้วยกัน

IBM 370


ยุคที่ 5 (The Fifth Generation) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 - 1989
     ในยุคที่ 4 และยุคที่ 5 ก็จัดเป็นยุคของคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันแต่ในยุคที่ 5 นี้มีการใช้คอมพิวเตอร์ เพื่อช่วยการจัดการและนำมาใช้สนับสนุนการตัดสินใจของผู้บริหารจึงเกิดสาขา MIS (Management Information System) ขึ้น
     ในปี ค.ศ 1980 ญี่ปุ่นได้พยายามที่จะสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ให้สามารถคิดและ ตัดสินใจได้เอง โดยสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ให้มี “สติปัญญา” เพื่อใช้ในการตัดสินใจแทนมนุษย์จึงเกิดสาขาใหม่ขึ้นเรียกว่า สาขาปัญญาประดิษฐ์ (AI : Artificial Intelligence) สาขาปัญญาประดิษฐ์เป็นสาขาที่เน้นถึงความพยายามในการนำเอากระบวนการทางความคิดของมนุษย์มาใช้ในการ แก้ปัญหาด้วยระบบคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้มีการตื่นตัวในการจัดเก็บข้อมูลเป็นระบบฐานข้อมูล (Database) การนำคอมพิวเตอร์มาใช้กับงานทางด้านกราฟิก และมีการพัฒนาซอฟต์แวร์ (Software) เพื่อใช้กับงานเฉพาะอย่าง เช่น งานการเงิน งานงบประมาณ งานบัญชี งานสต๊อกสินค้า เป็นต้น
 
ยุคที่ 6 (Sixth Generation)  ปี ค.ศ. 1990- ปัจจุบัน
      ที่ผ่านมาทั้ง 5 ยุค พัฒนาการของคอมพิวเตอร์จะเป็นไปในทางการปรับปรุงการผลิต และการ เสริมสร้างความสามารถทางด้านการคำนวณของคอมพิวเตอร์
เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นการจำกัด ความสามารถทางด้านการป้อนข้อมูล ในปัจจุบัน ความต้องการทางด้านการป้อนข้อมูลอย่างอิสระ โดยใช้เสียงและภาพ ซึ่งถือเป็น
การป้อนข้อมูลโดยธรรมชาตินั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ ความต้องการคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ที่ไม่เป็นเพียงแต่เครื่องคำนวณ จึงสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความต้องการ
ประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในการแก้ปัญหาสังคม เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม เทคโนโลยี การติดต่อระหว่างประเทศและอื่น ๆ ในช่วงทศวรรษปี 1990 เช่น
1) การพัฒนาด้านการผลิตของอุตสาหกรรม การตลาด ธุรกิจ
2) การพัฒนาทางด้านการติดต่อสื่อสารระหว่างประเทศ
3) การช่วยเหลือทางด้านการประหยัดพลังงาน
4) การแก้ไขปัญหาของสังคม การศึกษา การแพทย์
ความสามารถที่คอมพิวเตอร์ยุคที่ 6 ควรจะมี อาจแบ่งได้ดังนี้
1) การพัฒนาปัญญาให้คอมพิวเตอร์ เพื่อที่จะสามารถนำไปใช้เป็นผู้ช่วยของมนุษย์ได้ สำหรับการพัฒนาด้านปัญญาของคอมพิวเตอร์หรือที่เรียกว่า AI (artificial intelligence) อาจกล่าวได้ว่าเป็นการพัฒนาด้านการป้อนข้อมูลด้วยเสียงและภาพ ความสามารถในการโต้ตอบด้วยภาษาพูด ความสามารถในการเก็บข้อมูลในด้านความรู้และการนำความรู้ไปใช้ การค้นหาความรู้จากข้อมูลมหาศาสล และอื่น ๆ
2) การลดความยากลำบากในการผลิตซอฟต์แวร์ เป็นการพัฒนาทางด้านการเขียนโปรแกรม พัฒนา ภาษาของโปรแกรมให้ง่ายขึ้น วิธีการติดต่อกับผู้ใช้ และอื่น ๆ




ที่มา : http://www.shc.ac.th/shc_media_online/media_m4/information/infor1.htm
http://jsbg.joseph.ac.th/pm08/alesson/computer%20p2/__2.html
http://www.oknation.net/blog/bangkoksuvarnabhumi-college/2014/01/16/entry-2
http://kaninkratum.blogspot.com/
เอกสารประกอบการเรียน

วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2558

แบบฝึกหัดบทที่ 4 วิชา การจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน 0026008


แบบฝึกหัด
บทที่4 (กิจกรรม4)                                                                              กลุ่มเรียนที่ 3
รายวิชา กาารจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน                  รหัสวิชา 0026008
ชื่อ-สกุล  นางสาวสมฤทัย    ทองบ่อ                        รหัสนิสิต56011110070 สาขา ARC


จงตอบคำถามต่อไปนี้


1.ให้นิสิตยกตัวอย่างอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีสารสานเทศตามหัวข้อต่อไปนี้
อย่างน้อยหัวข้อละ ชนิด แล้วแลกเปลี่ยนกันตรวจกับเพื่อน
     1) การบันทึกและจัดเก็บข้อมูล
                  Floppy Disk , DVD , Blu-ray Disc
     2) การแสดงผล
                  จอมอนิเตอร์ เครื่องฉายโปรเจ็คเตอร์ เครื่องพิมพ์
     3) การประมวลผล
                 CPU , RAM , Software
     4) การสื่อสารและเครือข่าย
                อินเตอร์เน็ต โทรทัศน์ วิทยุ


2.ให้นิสิตนำตัวเลขในช่องขวา มาเติมหน้าข้อความในช่องซ้ายที่มีความสัมพันธ์กัน
      ซอฟต์แวร์ประยุกต์
  
   3  Information Technology
     
1  คอมพิวเตอร์ในยุคประมวลผลข้อมูล
    
 6  เทคโนโลีสารสนเทศ ประกอบด้วย
     
10  ช่วยเพิ่มผลผลิต เพิ่มต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
     
7  ซอฟต์แวร์ระบบ
   
  9  การนำเสนอบทเรียนในรูปมัลติมีเดียที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตน  เองได้ตามระดับความสามารถ
    
 5  EDI
     
4  การสื่อสารโทรคมนาคม
     
2  บริการชำระภาษีออนไลน์



ที่มา: เอกสารประกอบการเรียน

แบบฝึกหัดบทที่ 3 วิชา การจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน 0026008


แบบฝึกหัด
บทที่3 (กิจกรรม3)                                                                                                     กลุ่มเรียนที่ 3
รายวิชา กาารจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน                                          รหัสวิชา 0026008
ชื่อ-สกุล  นางสาวสมฤทัย    ทองบ่อ                                                   รหัสนิสิต56011110070 สาขา ARC

คำชี้แจง  จงตอบคำถามต่อไปนี้

1. ข้อใดเป็นความหมายที่ถูกต้องที่สุดของการรู้สารสนเทศ   
ความสามารถในการกลั่นกลอง และประเมินค่าสารสนเทศที่หามาได้   
ความสามารถในการตัดสินใจใช้สารสนเทศรูปแบบต่างๆ   
. ความสามารถของบุคคลในการสืบค้นและพัฒนาสารสนเทศ   
. ความสามารถของบุคคลในการเข้าถึง ประเมิณและใช้งานสารสนเทศ

2. จากระบวนการของการรู้สารสนเทศ ทั้ง ประการ ประการไหนสำคัญที่สุด
. ความสามารถในการตระหนักว่าเมื่อใดจึงจะต้องการสารสนเทศ  
ความสามารถในการค้นหาสารสนเทศ   
ความสามารถในการประมวลผลสารสนเทศ   
. ความสามารถในการใช้และการสื่อสารสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ

3. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของผู้รู้สารสนเทศ
 สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ 
 
สามารถใช้สารสนเทศในการดำเนินชีวิต   

. ชอบใช้คอมพิวเตอร์ในการเล่นเกม
ใช้คอมพิวเตอร์ในการแสวงหาสารสนเทศ

4. ข้อใดไม่ใช่ความสำคัญของการรู้สารสนเทศ
โลกมีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก โดยเน้นวัตถุนิยมมากชึ้น   
ช่วยให้บุคคลประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิต   
. สารสนเทศมีการเพิ่มปริมาณอย่างรวดเร็ว จนยากที่จะเข้าถึง  
ช่วยบุคคลเป็นผู้มีศักยภาพในการเรียนรู้ตลอดชีวิต

5. ข้อใดเป็นการเรียงลำดับขั้นตอนของกระบวนการเรียนรู้สารสนเทศที่ถูกต้อง
1. ความสามารถในการประมวลสารสนเทศ 
2. ความสามารถในการประเมินสารสนเทศ  
3. ความสามารถในการใช้และการสื่อสารสนเทศอย่างมีประสิทิภาพ  
4. ความสามารถในการค้นหาสารสนเทศ  
5. ความสามารถในการตระหนักว่าเมื่อใดจึงจะต้องการสารสนเทศ
. 1-2-3-4-5       . 2-4-5-3-1        . 5-4-1-2-3         . 4-3-5-1-2

แบบฝึกหัดบทที่ 2 วิชา การจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน 0026008


แบบฝึกหัด
บทที่2 (กิจกรรม2)                                                                                                     กลุ่มเรียนที่ 3
รายวิชา กาารจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน                                          รหัสวิชา 0026008
ชื่อ-สกุล  นางสาวสมฤทัย    ทองบ่อ                                                   รหัสนิสิต56011110070 สาขา ARC


คำชี้แจง  จงตอบคำถามต่อไปนี้
 1.ให้นิสิตหารายชื่อเว็บไซต์หรือเทคโนโลยีที่ให้บริการต่างๆ ตามหัวข้อเหล่านี้มาอย่างละ 3 รายการ

1.1  การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในสาขาการศึกษา
- http://www.niets.or.th/index.html
- http://www.kanzuksa.com/
- http://www.eduzones.com/

1.2  การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพธุรกิจ พาณิชย์ และสำนักงาน
- http://www.dbd.go.th/mainsite/
- http://www.scb.co.th/th/business-relationship-center
- http://www2.moc.go.th/main.php?filename=index_design4

1.3  การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพการสื่อสารมวลชน
- http://www.khaosod.co.th/default.php
- http://www.dailynews.co.th/
- http://www.naewna.com/

1.4  การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพทางอุตสาหกรรม
- http://www.industry.go.th/page/welcome_Mol.aspx
- http://www.thailandindustry.com/webindex/default.php
- http://www.nanasupplier.com/

1.5  การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพทางการแพทย์
- http://www.cancer.org/
- http://www.healthfinder.gov/
- http://hivinsite.ucsf.edu/

1.6  การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพทหารตำรวจ
- http://www.greatcadettutor.com/index.php?option=com_content&view=category&id=7:military-articles&Itemid=55
- http://www.police4.go.th/p4/index.php
- http://www.rpcafamily.com/

1.7  การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพวิศวกรรม
- http://www.coe.or.th/e_engineers/coeindex.php
- http://www.9engineer.com/
- http://www.engineerthailand.com/

1.8  การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพเกษตรกรรม
- http://www.farmkaset.org/contents/default.aspx?content=00155
- http://www.kasetporpeang.com/
- http://www.moac.go.th/home.php

1.9  การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับคนพิการต่างๆ
- http://www.tddf.or.th/
- http://www.braille-cet.in.th/
- http://www.apht-th.org/

2.  มหาวิทยาลัยมหาสารคามเตรียมเทคโนโลยสารสนเทศด้านการศึกษาให้กับท่าน มีอะไรบ้าง บอกมาอย่างน้อย 3 อย่าง
- เว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย http://www.msu.ac.th/
- เว็บไซต์ลงทะเบียน http://reg.msu.ac.th/registrar/home.asp
- เว็ยไซต์คณะ http://www.mbs.msu.ac.th/

3.  ข้อ 2 จงวิเคราะห์ว่าท่านจะเอาเทคโนโลยีเหล่านั้น มาทำให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองอย่างไรบ้าง
- สามารถติดตามข่าวสาร ข้อมูลที่สำคัญของทางมหาวิทยาลัย 
http://tdc.thailis.or.th/tdc/
- ลงทะเบียนเรียน ลด/เพิ่ม ถอน หน่วยกิต ตรวจสอบจบ และยื่นจบออนไลน์ได้ด้วยการ log in เข้าระบบส่วนตัว 
http://reg.msu.ac.th
- ติดต่อ สอบถาม ข้อสงสัย จากคณะหรือมหาวิทยาลัยได้อย่างสะดวก 
http://www.msu.ac.th


ที่มา: จากเว็บไซต์ที่นำเสนอข้างต้น

แบบฝึกหัดบทที่1 วิชา การจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน 0026008

แบบฝึกหัดบทที่1 วิชา การจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน 0026008 กลุ่ม 3


           แบบฝึกหัด

บทที่1 (กิจกรรม1)                                                                                                     กลุ่มเรียนที่ 3

รายวิชา กาารจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน                                          รหัสวิชา 0026008
ชื่อ-สกุล  นางสาวสมฤทัย    ทองบ่อ                                                          รหัสนิสิต56011110070สาขา ARC


จงเติมในช่องว่างว่าข้อใดเป็นข้อมูล หรือสารสนเทศ


1.ข้อมูลหมายถึง  
          ข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ เช่น คน สัตว์  สิ่งของสถานที่ฯลฯ โดยอยู่ในรูปแบบที่ เหมาะสมต่อการสื่อสาร การแปลความหมายและการประมวลผล    ซึ่งข้อมูลอาจจะได้มาจากการสังเกต การรวบรวม การวัด ข้อมูลเป็นได้ทั้งข้อมูลตัวเลขหรือสัญลักษณ์ใด ๆ ที่สำคัญจะต้องมีความเป็นจริงและต่อเนื่องตัวอย่างของข้อมูล เช่น คะแนนสอบ ชือนักเรียน  เพศ  อายุ เป็นต้น 

2.ข้อมูลปฐมภูมิคือ 
           สารสนเทศที่ได้มาจากต้นแหล่งโดยตรง เป็นสารสนเทศทางวิชาการ ผลของการศึกษาค้นคว้า วิจัย รายงาน การค้นพบทฤษฎีใหม่ๆ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม ซึ่งนำไปสู่การยอมรับเป็นทฤษฎีใหม่ที่เชื่อถือได้ สารสนเทศประเภทนี้มักจะถูกถ่ายทอดออกมาในลักษณะสิ่งพิมพ์ และการถ่ายทอดสื่อทางอิเล็กทรอนิกส์ 
ยกตัวอย่างประกอบ 
           การถ่ายทอดทางสิ่งพิมพ์วารสาร รายงานการวิจัย รายงานการประชุมและสัมมนา วิชาการ และการถ่ายทอดสื่อทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น วารสารอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น

3.ข้อมูลทุติยภูมิคือ  
           เป็นแหล่งของข้อมูลที่ได้จากรายงาน หรือถ่ายทอดมาจากข้อมูลชั้นต้น หรือนำข้อมูลปฐมภูมิมาสังเคราะห์และเรียบเรียงขึ้นใหม่ เพื่อเสนอข้อคิดหรือแนวโน้มบางประการ ด้วยเหตุนี้ข้อมูลหรือหลักฐานนั้นจึงถูกรายงานโดยผู้ที่ไม่ได้มีส่วนร่วมหรือเป็นพยานในเหตุการณ์นั้น ผู้เขียนจะรายงานหรือถ่ายทอดในสิ่งที่ผู้อยู่ในเหตุการณ์พูด หรือเขียน หรือถ่ายทอดในลักษณะต่าง ๆ ไว้ หรืออาจจะถ่ายทอดมาหลายทอดก็ได้  การนำมาใช้ในการวิจัยจึงต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ นอกจากนั้น ข้อมูลที่ได้อาจไม่ทันสมัย ดังนั้นในการค้นหาข้อมูลทุติยภูมิจึงต้องเลือกค้นหาข้อมูลที่เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ ส่วนข้อดีของข้อมูลทุติยภูมิคือ ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการค้นหาข้อมูล
ยกตัวอย่างประกอบ  หนังสือทั่วไป หนังสือตำรา หนังสือคู่มือการทำงาน รายงานความก้าวหน้าทางวิทยาการ บทคัดย่องานวิจัย บทวิจารณ์หนังสือ วารสารสาระสังเขป เป็นต้น

4.สารสนเทศหมายถึง  
             สารสนเทศ หมายถึง ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ หรืออาจกล่าวได้ว่า สารสนเทศ เกิดจากการนำข้อมูล ผ่านระบบการประมวลผล คำนวณ วิเคราะห์และแปลความหมายเป็นข้อความที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ 

5.จงอธิบายประเภทของสารสนเทศ  
               การจำแนกประเภทสารสนเทศได้มีการจำแนกออกเป็น  ตามแหล่งสารสนเทศและตามสื่อที่จัดเก็บดังนี้ คือ 
        1.สารสนเทศจำแนกตามแหล่งสารสนเทศ เป็นการจำแนกสารสนเทศตามการรวบรวมหรือจักทำกับสารสนเทศ  จำแนกได้ดังนี้
                       1.1แหล่งปฐมภูมิ (Primary Source)
                       1.2แหล่งทุติยภูมิ (Secondary Source)
                       1.3แหล่งตติยภูมิ (Tertiary Source)
        2.สารสนเทศตามแล่งที่จัดเก็บ เป็นการจำแนกสารสนเทศตามชนิดของสื่อที่ใช้ในการบันทึกข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ ได้แก่ กระดาษ วัสดุย่อส่วน สื่ออิเล็กทรอนิกส์ และสื่อแสง

6.ข้อเท็จจริงของสิ่งต่างๆที่อาจเป็นตัวเลขข้อความรูปภาพเสียงคือ    ข้อมูล

7.ข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลเป็น ข้อมูลสนเทศหรือสารสนเทศ (Information)

8.ส่วนสูงของเพื่อนที่ถามจากเพื่อนเป็น ฐานข้อมูลออนไลน์

9.ผลของการลงทะเบียนเรียนเป็น      ฐานข้อมูลออนไลน์

10.กราฟแสดงจำนวนนิสิตในห้องเรียนวิชาวิชาการจักการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน Sectionวันอังคารเป็น ข้อมูลเชิงปริมาณ   


ที่มา:https://blog.eduzones.com/noknik15clab/33086
เอกสารประกอบการเรียน